วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009




โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

1.ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 คืออะไร

          คือ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 ที่ระบาดในคน ซึ่งองค์การอนามัยโลกเปลี่ยนชื่อจาก swine flu เป็น Influenza type A  H1N1 แต่กระทรวงสาธารณสุขของไทยใช้ชื่อว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

จากประวัติคนไข้ 2 ราย ที่พบในรัฐแคลิฟอเนีย พบว่าทั้ง 2 รายนี้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิด H1N1 ซึ่งมีลักษณะพันธุกรรมชนิดเดียวกัน ซึ่งผู้ป่วยทั้ง 2 ราย ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก่อน รวมทั้งไม่เคยสัมผัสสุกร จึงทำให้สรุปได้ว่า เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่แพร่ระบาดในเม็กซิโก แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ขณะนี้เกิดจากการติดต่อระหว่างคนสู่คน

สำหรับลักษณะทางพันธุ์กรรมของเชื้อยังแตกต่างจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่พบแพร่ระบาดเป็นปกติในฝูงสุกร กล่าวคือ ท่อนพันธุกรรมทั้งแปดท่อนของไข้หวัดเม็กซิโก A/California/04/2009 มีต้นกำเนิดจากสุกร (swine-specific lineage) โดยยีน neuraminidase (NA) และ matrix (M) มีต้นกำเนิดจากสุกรในยุโรป (Eurasian swine origin)  ในขณะที่ท่อนยีน hemagglutinin (HA) และยีนที่เหลือ (nucleoprotein (NP), non-structural (NS) และ RNA polymerases (PA, PB1 และ PB2) มีต้นกำเนิดจากสุกรทางอเมริกาเหนือ (North America swine origin) ทั้งนี้ยังไม่พบไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์นี้ระบาดในเม็กซิโก

          สำหรับข้อมูลไข้หวัดหมูในฝูงสุกรของประเทศไทยนั้น พบอุบัติการณ์ของการติดเชื้อทั้ง 3 subtypes H1N1 , H3N2 และ H1N2 โดยหลักฐานมีทั้งทางซีรั่มวิทยาและการเพาะแยกเชื้อไวรัสได้จากสุกรป่วย โดยเฉพาะที่หน่วยชันสูตรโรคสัตว์ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อรวบรวมข้อมูลทางพันธุกรรมของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สุกร subtype H1N1 พบลักษณะทางพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดหมู subtype H1N1 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000-2006 ไม่เหมือนเชื้อไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก (ข้อมูลจาก คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

2. การติดต่อของโรค

          ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศการเตือนภัย เป็นระดับ 5 ซึ่งหมายถึงมีการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระหว่างคนสู่คนกระจายไปมากกว่า 2 ประเทศ และถ้ามีการระบาดข้ามทวีป องค์การอนามัยโลกจะประกาศเป็นระดับที่ 6


การติดต่อจะคล้ายกับการติดต่อของไข้หวัดใหญ่
การติดต่อโดยตรง โดยจากการถูกผู้ป่วยไอ จามรดในระยะกระชั้นชิด  เพราะว่าเชื้อจะปนออกมากับน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะ 



การติดต่อทางอ้อม โดยการสัมผัสกับเครื่องมือเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนกับเชื้อ เช่น ผ้าเช็ดหน้า  แก้วน้ำ แปรงสีฟัน  เป็นต้น   เพราะเชื้ออาจจะติดจากมือของผู้ป่วยที่ มีการแคะขี้มูก จามลงสู่มือ แล้วมาสัมผัสกับอุปกรณ์ต่างๆ

*โรคนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการบริโภคสุกร
สำหรับการบริโภคสุกรควรปรุงสุกที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ   (ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข)


3. อาการของโรค

          ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่  เช่น มีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามตัว  ปวดศีรษะ ไอ เจ็บคอ ปวดตา  ปวดเมื่อยตามร่างกายรุนแรง อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย   อาการป่วยจะพัฒนารวดเร็วและมีอาการหายใจลำบากอย่างรุนแรงภายใน 5 วัน ควรสังเกตอาการของตน ส่วนการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีอาการปอดอักเสบรุนแรง    


4. การรักษา

          ผู้ป่วยต้องได้รับยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) โดยปัจจุบัน องค์การเภสัชฯ ได้มีการผลิตยาสำรองไว้อย่างเพียงพอ


5. ปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว (ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข)

การป้องกันตนเอง คือ วิธีที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด

1. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วย 5 อ. ได้แก่: อาหาร 5 หมู่   ออกกำลังกายสม่ำเสมอ    
    อากาศบริสุทธิ์  อารมณ์แจ่มใส  อุจจาระเป็นเวลาทุกวัน
2. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด  อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
3. หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย หากจำเป็นควรป้องกันตนเอง ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย
    ล้างมือก่อนและหลังสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย
4. ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่
5. ห้ามใช้มือแคะตา  แคะจมูก  ปากและฟัน
6. หากเกิดการระบาดใหญ่  ให้เตรียมสำรองอาหาร น้ำ  ข้าวสาร  ยาสามัญประจำบ้าน ของ
    ใช้ที่จำเป็น เป็นต้น
7. ให้ฟังข้อมูลและคำแนะนำจากราชการและองค์การอนามัยโลกเป็นระยะๆ
8. หากป่วยเป็นหวัดเวลาจามให้ใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
    หากมีอาการรุนแรงไข้ไม่ลดภายใน
2 วัน ควรรีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะผู้ที่เดินทาง
    กลับจากประเทศที่มีการแพร่ระบาด




สำหรับคนที่จะเดินทางสู่พื้นที่เสี่ยงหรือมีการระบาดของโรค

          - ควรเลี่ยงการเดินทางสู่พื้นที่เสี่ยงหรือมีการระบาดของโรค
          - หากไม่จำเป็น  ควรเลื่อนหรือชะลอการเดินทางไปยังประเทศที่เป็นพื้นที่เกิดการระบาดจนกว่าสถานการณ์จะยุติลง โดยเฉพาะเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา และแคนาดา
          - หากจำเป็นต้องเดินทางไปพื้นที่เกิดการระบาด ให้หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไอจาม หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อแนะนำของทางการในพื้นที่นั้นๆ อย่างเคร่งครัด
          -  ควรป้องกันตนเอง ด้วยการใส่หน้ากากอนามัยล้างมือบ่อยครั้งด้วยสบู่หรือน้ำยาล้างมือหลังจากไปสัมผัสเครื่องมือเครื่องใช้ ที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
          - หลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถโดยสารประจำทาง รถไฟฟ้า เป็นต้น
          - ผู้ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่เกิดการระบาด ถ้ามีอาการของไข้หวัดใหญ่ เช่น  มีไข้ ไอ ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ ภายใน 7 วันหลังจากเดินทางกลับ ให้รีบปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำในการปฏิบัติตนอย่างเข้มงวด
          - ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์  และล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ ในกรณีที่ต้องไปสัมผัสกับอุปกรณ์ที่อาจสงสัยว่ามีเชื้อปนเปื้นอยู่ เช่น ลูกบิด ที่จับประตู ราวต่าง ในสถานที่สาธารณะ

          * เนื่องจากร่างกายของมนุษย์ในปัจจุบัน ยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อดังกล่าวจึงควรเลี่ยงที่จะเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง (ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)

       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น