วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โรคภูมิแพ้


โรคภูมิแพ้

หากคุณเป็นโรคภูมิแพ้ คุณคงจะเคยมีอาการต่างๆ ดังนี้ จาม โดยจามติดๆกันหลายๆครั้ง คัดจมูก บางรายอาจคันตา คันเพดานปาก คันในคอ หรือคันในหูด้วย มีน้ำมูกใสๆ ไหลออกมาบ่อยๆ คัดแน่นในจมูก จมูกตันตาแดงและมีน้ำตาไหล โรคภูมิแพ้อาจทำให้เกิดอาการ เจ็บคอ ไอ หูอื้อ ปวดศีรษะ ปวดบริเวณคางหรือหน้าผากน้ำมูกไหลลงคอ มีเสมหะติดในคอ อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ หงุดหงิด อาการเหล่านี้อาจสร้างความราคาญเพียงเล็กน้อยหรืออาจถึงกับทำให้คุณไม่มีความสุขในชีวิติได้ โรคภูมิแพ้อาจทำให้คุณต้องอดนอน อาจทำให้คุณหมดเรี่ยวหมดแรงและอาจทำให้คุณไม่มีสมาธิกับการทำงาน การเรียน

สาเหตุของโรคภูมิแพ้

            อาการโรคภูมิแพ้ เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้นจากสารบางอย่างที่เรียกว่า สารแพ้ (Allergen) โรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่จะเกิดจากการแพ้สารอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง เช่น เกสารดอกไม้ ตัวไรฝุ่น เชื้อรา และขนสัตว์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่เรียกว่าเป็น สารระคายเคือง (Irritants) ซึ่งอาจมีผลรบกวนต่อจมูกและทำให้อาการโรคภูมิแพ้เลว ลงได้ เช่น ควันบุหรี่ ควันไฟจากเตาถ่าน การเปลี่ยนแปลงอากาศ อารมณ์ตึงเครียด ร่างกายอ่อนเพลีย เนื่องจากอดนอน ทำงานหนัก ขาดการออกกำลังกาย
            ชนิดของโรคภูมิแพ้ เราสามารถแบ่งชนิดของโรคภูมิแพ้ออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
   1. โรคภูมิแพ้ชนิดเป็นตามฤดูกาล จะมีอาการเป็นช่วงๆของปี ขึ้นอยู่กับช่วงที่สารก่อภูมิแพ้ถูกผลิตออกมา สารก่อภูมิแพ้ในกรณีนี้เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ฟางข้าวต่างๆ
   2. โรคภูมิแพ้ชนิดเป็นตลอดปี คนไข้จะมีอาการตลอดทั้งปี เนื่องจาก คนไข้จะสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ตลอดเวลา ทำให้มีอาการแบบเรื้อรังสารก่อภูมิแพ้ทำให้คนแพ้กันมาก คือ ไรฝุ่นในบ้าน เชื้อรา ขนสัตว์เลี้ยง เป็นต้น

การดูแลรักษาภูมิแพ้

   1. หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ผู้ป่วยควรพยายามหลีกเลี่ยงสารที่ทราบว่าตนเองแพ้ เพื่อที่จะให้อาการเกิดน้อยลง และใช้ยาน้อยลงด้วย แต่มักเป็นไปได้ยาก
   2. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น
   3. การรักษาด้วยยา
    ยาต้านฮีสตามีน (ยาแก้แพ้)
            เป็นยาที่ใช้บ่อยที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้ ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ขัดขวางการทำงานของ histamine โดยแย่งสารฮีสตามีนในการจับกับตัวรับฮีสตามีนทำให้ฮีสตามีนไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ จึงช่วยรักษาและป้องกันอาการต่างๆ เช่น การจาม คันจมูก และน้ำมูกไหลได้

    ยาแก้แพ้หรือยาต้านฮีสตามีน มี 2 กลุ่ม

   1. ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มเก่า มีข้อควรระวัง คือ มักจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม คือ มักจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม และมีอาการข้างเคียง เช่น ปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่า ใจสั่น
   2. ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มใหม่ มีข้อดีคือไม่ทำให้ง่วงอาการข้างเคียงน้อยลงไม่ต่างจากการให้เม็ดแป้ง ออกฤทธิ์ได้นานกว่าซึ่งทำให้ไม่ต้องกินยาบ่อยๆ ส่วนมากวันละ 1-2 ครั้งก็พอ
ยาต้านฮีสตามีนกลุ่มใหม่บางชนิด นอกจากมีฤทธิ์ต้านฮีสตามีนแล้ว ยังมีคุณสมบัติอย่างอื่นอีก คือทำให้การอักเสบในภาวะภูมิแพ้น้อยลงด้วย
การเลือกชนิดของยาต้านฮีสตามีน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและผลข้างเคียงของยาแต่ละชนิด ซึ่งจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยนำข้อดีข้อเสียมาพิจารณาร่วมด้วย ในการเลือกใช้ยา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยสามารถสอบถามความรู้เรื่องยาต้านฮีสตามีนที่ตนทานอยู่กับแพทย์หรือเภสัชกรได้

 

ยาลดอาการคัดจมูก

จะลดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้ช่องจมูกโล่งขึ้นและลดความดันในโพรงจมูก ทำให้ช่วยลดอาการคัดแน่นในช่องจมูกได้โดยทั่วไปจะใช้ร่วมกับยาต้านฮีสตามีนซึ่งมักใช้ใน ผู้ป่วยที่มีอาการแบบเฉียบพลัน

ยาสเตอรอยด์

เป็นยาที่ช่วยลดอาการบวมของเยื่อบุจมูก รวมไปถึงอาการอักเสบภายในช่องจมูก อาการคัดแน่นจมูก คันจามได้ดี ทั่วไปมักจะใช้ในรูปแบบพ่นเข้าจมูกโดยตรง

ยาต้านโคลิเนอจิก

จะออกฤทธิ์ต้านต่อตัวรับโคลิเนอจิก มักใช้ร่วมกับยาต้านฮีสตามีน ในคนไข้ที่มีอาการน้ำมูกไหลมากๆ

    การฉีดยารักษาภูมิแพ้ โดยการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกายของผู้ป่วยทีละน้อยๆ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านสารก่อภูมิแพ้เหล่านั้นโดยทั่วไปต้องใช้เวลานานจึงเห็นผล (ประมาณ 3-5 ปี) และต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้รักษา เพราะอาจจะเกิดปฏิกิริยาแพ้แบบเฉียบพลันได้ มักทำให้ผู้ป่วยที่ใช้ยาอื่นๆแล้วไม่ได้ผล

การมีชีวิตอยู่กับโรคภูมิแพ้

            อาการของโรคภูมิแพ้ อาจทำให้คุณรู้สึกอึดอัดเบื่อและรำคาญแต่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณสามารถทำได้แพทย์จะสามารถช่วยเหลือคุณในการวางแผนการรักษาโรคภูมิแพ้ได้ การรักษาเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลบ่อยๆ น้ำตาไหล และอาการปวดศีรษะของคุณและอาจจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นจนเหมือนเป็นปกติ

                    

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น