วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โรคพาร์กินสัน


โรคตับแข็ง(CIRRHOSIS)

            ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในช่องท้องบริเวณชายโครงขวาเลยมาถึงลิ้นปี่ มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมสมดุลย์ต่างๆ ของร่างกายโดยทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ขจัดสารพิษออกจากเลือด สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อสู้เชื้อโรค กำจัดเชื้อโรคออกจากเลือด สร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัว ตลอดจนสร้างน้ำดี ซึ่งมีหน้าที่ช่วยดูดซึมไขมันและวิตามินบางชนิด นอกจากนี้ยังเป็นที่เก็บสะสมธาตุเหล็ก วิตามิน และเกลือแร่หลายชนิด ตลอดจนสะสมพลังงานในรูปของน้ำตาล ตับเป็นแหล่งเผาผลาญสารอาหารต่างๆที่สำคัญเปรียบเสมือน แหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย
            ตับแข็งเป็นสภาวะตับเกิดแผลเป็น หลังจากมีการอักเสบ หรือภยันตรายต่อเนื้อตับเมื่อเนื้อตับที่ดีถูกทำลาย เนื้อตับที่หายจากการอักเสบหรือถูกทำลายจะเกิดเนื้อเยื่อประเภทพังผืดรัดหรือกดเส้นเลือดในตับ เป็นผลให้เลือดที่ไหลผ่านตับไหลไม่สะดวก การทำงานของตับลดลง โรคตับแข็งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรโลก 25,000 คนต่อปี นับว่าเป็นสาเหตุการตายที่เกิดจากโรคเป็นอันดับที่ 8 นอกจากนี้ตับยังเป็นสาเหตุของการสูญเสียทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และเกิดความทุกข์ทรมานในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งอีกด้วย

สาเหตุของโรคตับแข็ง

            เกิดจากสาเหตุที่ทำให้ตับอักเสบเรื้อรังเป็นเวลานานจนทำให้เนื้อตับตายลงเกิดแผลเป็น มีเนื้อเยื่อพังผืดแทรกในตับ สาเหตุที่พบในประเทศไทย คือ
   1. สุรา แอลกอฮอล์ในสุราจะทำให้เกิดความผิดปกติของการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบจากสุราขึ้น เมื่อเป็นนานๆจะเกิดภาวะตับแข็ง พบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากกว่า 160 กรัมต่อวันติดต่อกันเป็นเวลา 5-10 วัน จะเกิดภาวะโรคตับแข็งได้ง่ายหรือเปรียบเทียบได้เท่ากับการดื่มสุราวิสกี้ 480 ซีซีต่อวัน หรือไวน์ 1,600 ซีซีต่อวัน หรือเบียร์ 4,000 ซีซีต่อวัน
   2. ไวรัสตับอักเสบ มีไวรัส 3 ตัว ที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรัง ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบบี ซี และดี ในประเทศไทยพบมากเฉพาะไวรัสบี และซี เท่านั้น ส่วนไวรัสตับอักเสบดีจะเกิดเฉพาะในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบี อยู่ก่อนแล้วเท่านั้น (เพราะต้องอาศัยไวรัส บี ในการแบ่งตัวเติบโตของไวรัสดี) พบมากเฉพาะในประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น อิตาลี่
   3. ยา สารพิษ และพยาธิบางชนิด ยาและสมุนไพรบางชนิดถ้ากินขนาดสูงติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการตับอักเสบเรื้อรังได้ สารพิษบางชนิด เช่น สารหนู (Arsenic) ก็ก่อให้เกิดพังผืดในตับได้รวมทั้งพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ในตับก็กระตุ้นให้เกิดตับแข็งได้
   4. ภาวะดีซ่านเรื้อรังจากท่อน้ำดีอุดตัน ปกติตับจะสร้างน้ำดีไหลมาตามท่อน้ำดีลงสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น ส่วนที่เหลือจากการไหลลงลำไส้จะไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี ถ้ามีการอุดกั้นการไหลของน้ำดีบริเวณท่อน้ำดีจากสาเหตุใดๆก็ตาม เช่น นิ่วอุดท่อน้ำดี หรือเนื้องอกอุดหรือเบียดท่อน้ำดีจนตีบตันเป็นเวลานาน น้ำดีที่ไหลย้อนกลับไปคั่งที่ตับก็สามารถทำลายเนื้อตับจนเป็นตับแข็งได้
   5. ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง ทำให้มีเลือดคั่งที่ตับ เลือดไหลเวียนในตับลดลง เนื้อตับเกิดภาวะขาดออกซิเจนตายลง
   6. โรคกรรมพันธุ์บางชนิด เช่น โรควิลสัน มีการสะสมของทองแดงมากในตับ ทำให้เนื้อตับอักเสบและตาย เกิดตับแข็ง,โรค hemochromatosis มีการสะสมของเหล็กมากในตับ glycogen storage disease  มีความบกพร่องของการใช้คาร์โบไฮเดรตบางประเภท
   7. โรคตับอักเสบจากภูมิต้านทานของตนเอง (Antoimmune Hepatitis) เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหันมาทำลายตับตนเองพบมากในชาวยุโรป ส่วนในประเทศไทยพบน้อย
   8. โรคตับอักเสบจากไขมัน ภาวะที่มีไขมันสะสมที่ตับจำนวนมากอาจจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็งได้ ภาวะตับมีไขมันมากนี้ อาจพบร่วมกับโรคบางโรค เช่น เบาหวาน ทุพโภชนาการ อ้วน การใช้ยาบางชนิด เช่น Steroid เป็นเวลานาน

การวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับแข็ง

   มีประวัตินำไปสู่การเป็นตับแข็งได้ เช่น ดื่มสุราจัด มีประวัติป่วยด้วยโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบี หรือ ซี
   อาการท้องมาน ตาตัวเหลือง มีหลอดเลือดเล็กๆขยายตัวเป็นจุดแดง มีแขนงยื่นออกไปโดยรอบคล้ายใยแมงมุมที่ผิวหนังบริเวณหน้าอกและไหล่ ม้ามโต

   เจาะเลือดพบโปรตีนในเลือดลดลง สารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวต่ำกว่าปกติ มีระดับสารน้ำดี(Bilirubin) สูง ในกรณีที่มีการอักเสบของตับจะพบระดับเอ็นไซม์ 2 ตัว คือ SGOT (AST) และ SGPT(ALT)สูง นอกจากนี้การเจาะเลือดตรวจเพื่อยืนยันว่าเป็นสาเหตุของโรคตับแข็ง ได้แก่ การตรวจหาไวรัสตับอักเสบ บี และซี การตรวจพบภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น Antinuclear Antibody (ANA),Anti Smooth Muscle Antibody บ่งชี้ว่าเป็นโรคตับอักเสบจากภูมิคุ้มกันของตนเอง ในผู้ป่วยที่เป็นโรควิลสันจะตรวจพบโปรตีนที่ทำหน้าที่จับทองแดงชื่อ Ceruloplasmin ลดลง จะพบระดับธาตุเหล็กในเลือดสูงขึ้น
   การตรวจตับด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound)เพื่อประเมินสภาวะของตับโดยแพทย์
   การตรวจตับด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์(Spiral Computer Tomography)
   การตรวจตับด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(MRI=Magnetic Resonance Imaging)
   การส่องกล้องตรวจภายในช่องท้อง (Laparoscopy)
   การตรวจชิ้นเนื้อตับทางพยาธิวิทยา(ด้วยกล้องจุลทรรศน์) โดยการใช้เข็มพิเศษ(Liver biopsy needle) เจาะผ่านผิวหนังดูดชิ้นเนื้อตับออกมาตรวจ

โรคแทรกซ้อนจากตับแข็ง

   1. ท้องมาน ผู้ป่วยจะมีท้องโตเนื่องจากมีน้ำคั่งภายในช่องท้องมักมีขาบวมกดบุ๋ม 2 ข้างเกิดจากตับสร้างโปรตีนที่เรียกว่าอัลบูมินในกระแสเลือดลดลง อัลบูมินมีหน้าที่ช่วยอุ้มน้ำไว้ในกระแสเลือดเมื่อปริมาณอัลบูมินในเลือดลดลงร่วมกับความดันหลอดเลือดดำในตับสูงขึ้น ทำให้ผู้ป่วยตับแข็งมีน้ำและเกลือแร่รั่วออกมาจากเส้นเลือดในช่องท้องและเนื้อเยื่อของผู้ป่วย ทำให้เกิดภาวะท้องมานและบวม
        1.1 การติดเชื้อภายในช่องท้องเนื่องจากโปรตีนหลายตัวที่ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันสร้างจากตับ เมื่อตับเสียหน้าที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง เมื่อเกิดร่วมกับภาวะท้องมานมีน้ำในช่องท้อง ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อภายในช่องท้องได้
        1.2 น้ำท่วมในช่องปอด พบว่าร้อยละ 5 ของผู้ป่วยท้องมานจากตับแข็งจะมีน้ำท่วมในช่องปอดโดย 2 ใน 3 ราย มีน้ำท่วมในช่องปอดขวาข้างเดียว
        1.3 ภาวะไส้เลื่อนที่สะดือร้อยละ 20 ของผู้ป่วยท้องมานจากตับแข็งน้ำจะดันรูรั่วที่สะดือ สะดือนูนออกมาเป็นสะดือจุ่นขนาดโต โรคแทรกซ้อนที่พบคือผิวหนังบริเวณสะดือจุ่นเป็นแผลเกิดการติดเชื้อถ้าผิวหนังโป่งและแตกออกจะมีน้ำจากท้องมานรั่วออกและเกิดการติดเชื้อ กรณีนี้มีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 50 บางรายมีลำไส้เลื่อนเข้ามาในสะดือจุ่นของขอบรูที่ผนังหน้าท้องกดรัดจนไม่มีเลือดมาเลี้ยงทำให้เกิดการเน่าอักเสบของลำไส้ ต้องรักษาโดยการผ่าตัด การรักษาภาวะไส้เลื่อนที่สะดือคือพยายามควบคุมลดน้ำท้องมาน หรืออาจจำเป็นต้องผ่าตัดเย็บปิดรูที่สะดือ    
   2. ภาวะทางสมอง เนื่องจากตับขจัดสารพิษจากการสลายของโปรตีนไม่ได้ ผู้ป่วยจะมีอาการสับสน ซึมลง ในรายที่เป็นมากจะมีอาการหมดสติ ไม่รู้สึกตัว ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีอาการรุนแรงขึ้นจากการสลายโปรตีนของร่างกายและจากการรับประทานอาหารโปรตีน จึงจำเป็นต้องจำกัดโปรตีนในอาหารให้น้อยที่สุดระหว่างที่มีอาการอยู่ ทำให้ผู้ป่วยได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ ดังนั้นควรเสริมโปรตีนที่เป็นกรดอะมิโนชนิดกิ่ง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับโปรตีนเพียงพอนอกจากนี้ถ้ามีเลือดออกโดยเฉพาะในทางเดินอาหาร จะทำให้มีการสลายโปรตีนจากเลือดหรืออุจจาระที่ค้างในลำไส้ใหญ่ซึ่งมีปริมาณโปรตีนสูง (ในเลือด 100 ซีซี จะมีโปรตีนสูงถึง 60 กรัม) การสลายโปรตีนจะเพิ่มปริมาณสารพิษ เช่น แอมโมเนียจนตับไม่สามารถกำจัดได้ทัน สารพิษเหล่านั้นจะไปยับยั้งการทำงานของสมอง ทำให้ผู้ป่วยซึมลงจนหมดสติได้
   มีเลือดออกง่าย เพราะตับผลิตสารช่วยในการแข็งตัวของเลือดลดลง
   ภาวะความดันสูงในระบบหลอดเลือดดำของตับ (Portal Hypertension) ตับแข็งเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงในระบบหลอดเลือดดำที่ผ่านตับ เป็นผลให้เกิดเส้นเลือดดำโป่งพองในหลอดอาหารและกระเพราะอาหารส่วนต้น 35-80%ของผู้ป่วยตับแข็ง เส้นเลือดขอดนี้มีโอกาสแตกมีเลือดออกและหยุดยากและมีโอกาสเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 30-50
   อาการไตวายเนื่องจากโรคตับ เชื่อว่าเป็นผลจากสารพิษที่ตับขจัดไม่ได้ ทำให้การไหลเวียนของเลือดที่ผ่นไตมีการกรองน้ำปัสสาวะออกจากเลือดน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ภาวะนี้ยังไม่มีการรักษาที่ได้ผลแม้แต่การเข้าเครื่องไตเทียมนอกจากการเปลี่ยนตับเท่านั้น
   โรคมะเร็งตับ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งนานๆมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง และทรุดเร็วกว่าปกติ

การดูแลและรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง

เมื่อเกิดตับแข็งแล้ว ขณะนี้ยังไม่มียารักษาแก้ไขภาวะพังผืดทิ่เกิดจากแผลเป็นในตับให้กลับมาเป็นปกติได้ นอกจากดูแลไม่ให้ตับมีการอักเสบหรือถูกทำลายมากขึ้น ดังนั้น การดูแลผู้ป่วยโรคตับแข็ง คือ
   กำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดตับอักเสบ เช่น งดดื่มสุรา รักษาไวรัสตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบ บีและซี ในรายที่เป็นโรควิลสันให้ยากินขจัดทองแดงส่วนเกิน
   ควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ
   รับประทานอาหารครบส่วน รวมทั้งอาหารประเภทโปรตีนอย่างน้อยในปริมาณ 1-1-
2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวันในรายที่ขาดอาหารต้องเพิ่มโปรตีนสูงถึง 1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน ยกเว้นในรายที่เกิดอาการทางสมอง เนื่องจากตับขจัดสารพิษไม่ได้ ในระยะนี้จำเป็นต้องลดการกินอาหารโปรตีนตามคำแนะนำของแพทย์
   ในรายที่มีขาบวม ท้องมาน ควรจำกัดการกินเกลือไม่ให้เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน หลีกเลี่ยงอาหารดองเค็มเพือป้องกันไม่ให้บวมมากขึ้นจากภาวะมีเกลือคั่ง ในรายที่บวมมากแพทย์อาจสั่งยาขับปัสสาวะเพื่อลดภาวะท้องมาน และอาการบวม
   การผ่าตัดเปลี่ยนตับ เป็นการรักษาที่ดีที่สุด แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องค่าใช้จ่าย และตับที่มีผู้บริจาคมีจำนวนน้อยและผู้ป่วยเปลี่ยนตับยังจำเป็นต้องกินยากดภูมิคุ้มกันไปตลอดหลังผ่าตัดเปลี่ยนตับ ปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนตับได้ผลดี มีอัตรารอดชีวิตมากกว่าร้อยละ 80 ภายในเวลา 5 ปี

 
              

 

ระหว่างที่ผมไปตรวจสภาพของร่างกายจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ รุ่งโรจน์ พิทยศิริ แห่งภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คุณหมอได้กรุณาขอให้เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโรคพาร์กินสัน
            อนึ่ง ผมได้สังเกตเห็นว่า ช่วงที่ผ่านมามีคนเป็นโรคนี้กันอย่างกว้างขวาง แม้ภาพที่เห็นได้จากส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยรออยู่ที่หน้าห้องคุณหมอ ทั้งนี้และทั้งนั้นประเด็นหนึ่งน่าจะมีผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมบนพื้นฐานวัตถุ ซึ่งส่งผลกระทบธรรมชาติที่อยู่ในรากฐานจิตใจคนส่วนใหญ่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ขาดสมดุล
            ผมได้อ่านจากหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า โรคพาร์กินสัน รักษาได้ ซึ่งจัดพิมพ์โดย ศูนย์รักษาโรคพาร์กินสันและกลุ่มโรคความเคลื่อนไหวผิดปกติ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
            ภายในเนื้อหาสาระของหนังสือเล่มนี้ได้ให้คำจำกัดความโรคพาร์กินสัน พอสรุปได้ว่า เป็นโรคที่เริ่มต้นจากอาการสั่นที่มือ ต่อจากนั้น จะเริ่มมีการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ช้าลงและแข็งเกร็ง ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยมีลายมือและตัวหนังสือเขียนที่เล็กลงตามลำดับ สรุปแล้ว ประเด็นนี้ น่าจะทำให้การเดินขาดความสง่างามให้เป็นที่เกรงขามและรู้สึกศรัทธาแก่คนทั่วไป
            ผมคาดว่าการที่คุณหมอ รุ่งโรจน์ พิทยศิริ ได้ขอให้เขียนเรื่องนี้ น่าจะมองเห็นอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทางความคิดของผมที่ไม่เหมือนคนอื่นเป็นส่วนใหญ่
            อย่างไรก็ตาม สัจธรรมได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนว่า  คนเราเกิดมาเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐานการดำเนินชีวิตที่สำคัญที่สุด ควรจะได้แก่ การเรียนความจริงที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการนำปฏิบัติที่มั่นคงอยู่กับความจริง ซึ่งอยู่ในใจ
            ดังนั้น สิ่งแรกที่ใคร่จะขอรับสารภาพก็คือ การที่ผมมีรากฐานจิตใจอิสระ และมีความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวมาโดยตลอดย่อมทำให้มองเห็นได้สองด้าน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นสองด้านที่แยกจากกันในเชิงเดี่ยวก็หาไม่ หากมีเหตุผลเชื่อมโยงถึงกันเป็นวัฏจักร ซึ่งความจริงแล้วความคิดที่เป็นอิสระของผมในทุก ๆเรื่อง น่าจะทำให้มองเห็นความจริงแล้วว่า ร่างกายกับจิตใจคนมีเหตุมีผลเชื่อมโยงถึงซึ่งกันและกัน นอกจากนั้น สัจธรรมยังได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนว่า จิตใจเป็นพื้นฐานกำหนดสภาพและพฤติกรรมของร่างกาย ถ้าจิตใจอิสระ ย่อมมีผลทำให้เข้าใจความจริงที่ปรากฏแก่ร่างกายให้สามารถรู้เท่าทัน
            ดังนั้น ผมจึงใคร่จะขอนำเอาประสบการณ์ชีวิตที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มาวิเคราะห์ให้ท่านผู้อ่านได้มองเห็นความจริง ซึ่งควรจะสรุปได้ว่า โรคพาร์กินสัน มีจริงหรือไม่จริง ควรจะอยู่ที่สภาพจิตใจ ซึ่งเป็นธรรมชาติของแต่ละคน

การเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต
            การเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต ซึ่งจะต้องหวนกลับไปสู่อดีตเพื่อทบทวนตนเองนับได้ว่า เป็นการกำหนดสติอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าการดำเนินชีวิตของบุคคลใดขาดสิ่งนี้ที่ควรมีเป็นนิสัยเสียแล้ว ผลจากการเรียนรู้ย่อมไม่สามารถกำหนดทิศทางเดินของชีวิตที่มุ่งไปสู่อนาคตที่มีคุณค่าสูงยิ่งขึ้น อย่างน้อยผู้ที่มีนิสัยดังกล่าว ย่อมเป็นคนมีความจำดี
            ขณะนี้ ผมมีอายุล่วงเข้าถึง ๘๕ ปี มากพอสมควรแล้ว หลังจากหวนกลับไปสู่อดีต ตนยังจำได้ดีว่า ประมาณปีพ.ศ.๒๔๘๒ ซึ่งขณะนั้น การจัดการศึกษาได้ตัดยอดสายสามัญออกไป ๒ ปี เพื่อนำไปใช้เป็นพื้นฐานของการอุดมศึกษา
            ผมทราบว่า มีการสอบสัมภาษณ์เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนเตรียมอุดมของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย โดยมี หม่อมหลวง ปิ่น มาลากุล เป็นผู้อำนวยการ ระหว่างการสอบสัมภาษณ์ ภายในห้องสอบคณะกรรมการได้วางแผนตั้งแก้วน้ำที่ใส่น้ำเอาไว้เต็มปรี่รวม ๓ ใบ ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งผู้เข้าสอบจะต้องเดินผ่านเข้ามา
มีบุคคลผู้หนึ่งซึ่งถูกเรียกให้เข้าไปสอบสัมภาษณ์ภายในห้องนั้น หลังจากเดินชนแก้วแรกจนกระทั่งน้ำหกจึงตกใจหันไปคว้าแก้วน้ำใบนั้น จนกระทั่งควบคุมตัวเองไม่อยู่ ในที่สุดก็ไปกระทบแก้วที่ สอง และแก้วที่ สาม จากสภาพดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า บุคคลผู้นั้น ขาดสติสัมปัชชัญญะ  พฤติกรรมดังกล่าวเป็นตัวอย่างให้นำไปคิดวิเคราะห์ค้นหาความจริง เพื่อนำมาศึกษาหาความรู้สำหรับใช้เป็นบทสรุป
อีกเหตุการณ์หนึ่ง ประมาณปีพ.ศ. ๒๔๙๘ ซึ่งขณะนั้น ผมมีอายุได้ ๓๓ ปี ซึ่งระหว่างนั้นผมยังทำงานอยู่ในกรมการข้าว ของกระทรวงเกษตราธิการ มีทุนไปศึกษาต่อยังประเทศออสเตรเลีย ๑ ทุน ในระดับปริญญาโท รวม ๒ ปี มีผู้ถูกทางราชการส่งเข้าไปสอบแข่งขัน รวม ๓ คน รวมทั้งผมด้วย ซึ่งความจริงแล้วตัวเองไม่นิยมที่จะไปเรียนต่อเมืองนอก เพราะไม่อยากถูกวัฒนธรรมฝรั่งครอบหัว
ระหว่างการสอบสัมภาษณ์ ร่วมกับการตรวจโรคในด้านจิตวิทยา ซึ่ง มี นพ. ฝน แสงสิงแก้ว เป็นผู้สอบ คุณหมอได้บอกให้ผมเหยียดนิ้วตรงแล้วยื่นมือทั้งสองข้างออกไปข้างหน้าแล้วใช้นิ้วของคุณหมอชี้ไปที่ปลายนิ้วมือซ้าย เสมือนแสดงความสนใจตรงจุดนั้น แล้วบอกว่ามือซ้ายผมสั่น
ผมสอบไม่ผ่าน โดยที่ทราบว่าเป็นเพราะปลายนิ้วมือซ้ายสั่นเล็กน้อย ยิ่งถูกชี้ดูเหมือนจะยิ่งสั่นมากขึ้น พฤติกรรมตรงนี้เป็นเรื่องน่านำมาคิดวิเคราะห์ค้นหาความจริงว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ ในที่สุด ผลการสอบครั้งนั้น ผมไม่ได้รับทุนตามความมุ่งหมายของทางราชการ
นอกจากนั้นตนยังจำได้ดีว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๒ กรมการข้าว ได้ส่งตัวไปเข้าสอบเพื่อรับทุนจากมูลนิธิร็อกกี้ เฟลเลอร์  ซึ่งครั้งนี้ได้ให้ไปเรียนต่อจนจบปริญญาเอก นอกจากนั้นยังมีทุนสนับสนุนให้ภรรยาไปด้วย ซึ่งทุนนี้บรรดานักวิชาการจำนวนมากกระหายที่จะได้รับ เพราะนอกจากได้เงินมากแล้ว ยังมีโอกาสได้ปริญญาสูงสุดอีกด้วย
แต่ความรู้สึกลึก ๆ ของผมไม่คิดอยากจะไปแต่ก็เกรงใจทางราชการเหมือนน้ำท่วมปาก ในการสอบทางมูลนิธิได้ส่งผู้บริหารจากส่วนกลางที่นครนิวยอร์กมาสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง ในที่สุด ปรากฏว่า สอบได้ รวมทั้งผ่านการตรวจร่างกายอีกด้วย
ตัวเองครุ่นคิดที่จะหาทางหลีกเลี่ยงการไปครั้งนั้น ทั้งนี้และทั้งนั้น คงมีผลสืบเนื่องมาจาก การเอาชนะใจตัวเองเป็นพื้นฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพึ่งตนเองบนพื้นฐานสัจธรรมของผม มีผลชัดเจนมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้น เรื่องนี้น่าจะมีเหตุสืบเนื่องมาจาก ความซื่อสัตย์ต่อตนเองที่อยู่ในรากฐานจิตใจอย่างลึกซึ้ง มีผลทำให้ตนมีนิสัย อ่อนน้อมถ่อมตนจากภายนอก แต่เข้มแข็งภายในรากฐานจิตใจในทุกๆ เรื่อง
ในที่สุด ก็หาทางหลีกเลี่ยงได้สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่มหาวิทยาลัยในมลรัฐ มิสซิซิบปี้ ได้ตอบรับเข้าเป็นนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามจากช่วงนั้น มาถึงช่วงนี้โดยที่ตัวเองมีนิสัยวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากข้อเขียนต่าง ๆ ที่วิเคราะห์ความเจริญในด้านวัตถุอย่างรวดเร็วเกินความพอดี ซึ่งตนคิดว่า เป็นอันตรายต่อทรัพยากรบุคคลและสังคมเป็นอย่างมาก
อาจเป็นเพราะความทุกข์และความห่วงใยต่อสังคมในช่วงหลัง ๆ จึงทำให้ผมเกิดความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ส่งผลกระทบถึงสุขภาพทางจิตลงไปที่ระบบประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่ใช้เคลื่อนไหวคือ ขาและแขน ทำให้เกิดอาการปวดในยามค่ำคืนซึ่งมีบรรยากาศสงบเงียบ ชวนให้คิดมากเกินเหตุ
แต่อีกด้านหนึ่ง จากความรู้สึกที่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งมีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ทำให้หลายคนสังเกตเห็นได้ว่า ผมเป็นคนที่เดินไปไหนมาไหนได้อย่างสง่างาม หลายคนวิจารณ์ว่ามีความผึ่งผายอยู่ในตัว แม้แต่การเหยียดหลังตรงและมีไหล่ผึ่งผาย โดยไม่ยอมให้ใครมาดูถูกในความเป็นตัวของตัวเอง จนกระทั่งตนได้เขียนบทความเรื่องหนึ่ง ที่ให้ชื่อว่า บุคลิกภาพ ความเร้นลับในจิตวิญญาณมนุษย์ ซึ่งแท้จริงแล้ว บทความเรื่องนี้ก็ได้ข้อมูลมาจากการสำรวจตัวเอง ซึ่งเป็นนิสัยที่นำปฏิบัติมาแล้วอย่างเป็นธรรมชาติ
อีกประการหนึ่ง เรื่องลายมือที่ผมรักในการเขียนถึงผู้อื่น เรื่องนี้เกิดจากมารยาทที่ดีของความเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นบุคคลผู้ที่เราเคารพรักยิ่งเป็นผู้น้อยกว่า หากเขียนจดหมายถึงกันจากความรู้สึกที่อยู่ในใจ ผมจะไม่ยอมใช้เครื่องมือกล ไม่ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์หรือสิ่งอื่นใด หากเขียนด้วยลายมือตนเอง โดยให้ความสำคัญไว้เหนืออื่นใดทั้งหมด
หลายคนวิจารณ์ว่า ลายมือของผมนี้อ่านง่ายและมีความชัดเจนมาโดยตลอด ถ้าจะถามว่าเป็นเพราะเหตุใดก็คงตอบออกมาจากใจได้เลยว่า เพราะมีความเคารพและความสำคัญแก่ทุกคน โดยเกรงไปว่าถ้าเขียนไม่ชัดเขาจะอ่านได้ยาก อีกทั้งอาจทำให้เกิดความสงสัยหรือเข้าใจผิดก็เป็นได้
เรื่องมือสั่น คงต้องรับสารภาพว่าตัวเองเป็นมาตั้งแต่เด็ก แต่มีประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นที่สังเกตและชวนให้คิด ทั้งนี้และทั้งนั้น เนื่องจากผมทำรายการโทรทัศน์ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี นอกจากนั้น ยังไม่คิดที่จะรบกวนทรัพย์สินเงินทองผู้อื่นแม้แต่องค์กรที่เป็นเจ้าของรายการคือสถานีโทรทัศน์
ดังนั้น ถ้าจะค้นหาความจริงจากเรื่องนี้ก็คงทราบได้ว่า แม้แต่กล้องถ่ายโทรทัศน์ก็หาซื้อเอง หรือไม่ก็ การทำงานที่ไม่ได้หาเงินจากผู้ใดก็นำมาซึ่งความศรัทธา แม้แต่ชาวต่างชาติ ถ้าทราบว่าผมใช้กล้องวิดีโอ มักมีคนซื้อหามาให้ จึงกล้ากล่าวได้ว่า ถ้าไม่เอาเงินในการดำเนินชีวิตก็สามารถอยู่ได้เพราะคนที่ศรัทธาเราคงไม่ปล่อยให้เราอดตายอย่างแน่นอน
การเดินทางไปไหนต่อไหน ส่วนใหญ่จะนึกถึงการให้ความรู้แก่คนไทย ดังนั้น แม้ไม่มีเงินแต่มีกล้องโทรทัศน์ก็จะถือติดตัวไปถ่ายเองทั้งหมด จึงมีข้อสังเกตอยู่ที่ว่า แม้ใครจะว่ามือสั่น แต่เวลาใช้กล้องวิดีโอถ่ายทำรายการด้วยตนเอง หลายคนวิจารณ์ว่าเป็นคนมือนิ่ง ซึ่งเรื่องนี้  ถ้าจะถามว่าเพราะเหตุใด ก็คงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นเพราะมีสมาธิที่แน่วแน่ในการนำปฏิบัติ เพื่อความสุขของผู้อื่น
ดังนั้น จึงทำให้เรียนรู้ความจริงได้ว่า การทำสมาธิ ไม่ว่าจะนำปฏิบัติเรื่องใดก็ตามในสิ่งที่ตนรักและสนใจ เพื่อความสุขของผู้อื่น ย่อมสามารถทำสมาธิได้ทั้งนั้น โดยไม่ต้องไปยึดติดอยู่กับการนั่งหลับตาในวัด
ผมเดินผ่านผู้ป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน เพื่อเข้าไปพบคุณหมอ ที่อยู่ในห้องตรวจผู้ป่วยของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ มีหลายคนรู้จักจึงได้ยกมือไหว้และทักทาย ซึ่งผมก็ได้แสดงน้ำใจซักถามเรื่องราวต่าง ๆ ของชีวิต นอกจากนั้น ความรู้พื้นฐานที่มีอยู่แล้วก็ททำให้ตระหนักดีว่า ขณะนี้คนไทยส่วนใหญ่มีรากฐานจิตใจอ่อนแอมาก ๆ ดังนั้น ผู้ป่วยด้วยโรคนี้จึงมีจำนวนมาก นอกจากหน้าห้องหมอแล้ว อีกส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ในสังคมก็คงมีมากกว่านี้มาก

บทสรุป
            โรคพาร์กินสัน อาจเกิดได้ มีสาเหตุสืบเนื่องมาจาก
๑. ธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายของแต่ละคนมาตั้งแต่เกิด
๒. ผลกระทบที่ได้รับจากสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของสังคมบนพื้นฐานวัตถุ ซึ่งแต่ละคน ไม่สามารถปรับใจให้รู้เท่าทันได้
๓. เหตุสืบเนื่องมาจากข้อ ๒ ที่ทำให้เกิดความเครียดหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันคนส่วนใหญ่ขาดรากฐานจิตใจที่พึ่งตนเองได้อย่างเข้มแข็ง เพื่อสามารถเอาชนะเงื่อนไขที่อยู่ในจิตใจตนเองให้เกิดความอิสระ และยืนอยู่ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุได้อย่างสง่างาม
๔. ถ้าจะกล่าวว่า เป็นโรคที่เป็นไปตามวัย ย่อมขึ้นอยู่กับ ๓ ข้อแรกเป็นสำคัญ
๕.การใช้ยารักษาจึงเป็นเพียงการบำบัดปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น

            


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น