วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โรคเบาหวาน (Diabetes)


โรคเบาหวาน (Diabetes)

สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ ซึ่งสร้างอินซูลินในส่วนของตับอ่อนทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน หรือ สร้างได้น้อยมาก ดังที่เรียกว่า โรคภูมิต้านทานตัวเอง หรือ ออโตอิมมูน (autoimmune) ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดระยะยาว และถ้าเป็นรุนแรง จะมีการคั่งของสารคีโตน (ketones) สารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาททำให้หมดสติถึงตายได้

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็น เบาหวาน ที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบชัดเจน แต่มีส่วนเกี่ยวกับ พันธุกรรม นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะ น้ำหนักตัวมาก และขาดการออกกำลังกาย มีลูกดก อีกทั้งวัยที่เพิ่มขึ้น เซลล์ของผู้ป่วยยังคงมีการสร้างอินซูลินแต่ทำงานไม่เป็นปกติ เนื่องจากมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยๆถูกทำลายไป บางคนเริ่มมีภาวะแทรกซ้อนโดยไม่รู้ตัว โดยอาจจะใช้ยาในการรับประทาน และบางรายต้องใช้อินซูลินชนิดฉีด เพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ เบาหวาน ยังมีสาเหตุมาจากการใช้ยาด้วย เช่น สเตอรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาเม็ดคุมกำเนิด

ผู้เป็นโรคเบาหวานจะมีอาการเบื้องต้นคือ
1. ปวดปัสสาวะ บ่อย ครั้งขึ้น เนื่องจากในกระแสเลือดและอวัยวะต่างๆมีน้ำตาลค้างอยู่มาก ไตจึงทำการกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน สังเกตจากการที่มีมดมาตอมปัสสาวะ จึงเป็นที่มาของการเรียก เบาหวาน
2. ปัสสาวะกลางคืนบ่อยขึ้น
3. กระหายน้ำ และดื่มน้ำในปริมาณมากๆต่อครั้ง
4. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายไม่มีเรี่ยวแรง
5. เบื่ออาหาร
6. น้ำหนัก ตัวลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าหากน้ำหนักเคยมากมาก่อน อันเนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปสร้างพลังงานได้เต็มที่จึงต้องนำ ไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้ทดแทน
7. ติดเชื้อบ่อยกว่าปรกติ เช่นติดเชื้อทางผิวหนังและกระเพาะอาหาร สังเกตุได้จากเมื่อเป็นแผลแล้วแผลจะหายยาก
8. สายตาพร่ามองไม่ชัดเจน
9. อาการชาไม่ค่อยมีความรู้สึก เนื่องมาจากเบาหวานจะทำลายเส้นประสาทให้เสื่อมสมรรถภาพลงความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกจึงถดถอยลง
10. อาจจะมีอาการของโรคหัวใจ และโรคไต

อาการแทรกซ้อนของ โรคเบาหวาน มักจะเกิดเมื่อเป็น เบาหวาน อย่างน้อย 5 ปีแล้วไม่ได้รักษาอย่างจริงจัง

1.ภาวะแทรกซ้อนทางสายตา (Diabetic retinopathy)เกิดจากการที่น้ำตาลเข้าไปใน endothelium ของ หลอดเลือดเล็กๆ ในลูกตา ทำให้หลอดเลือดเหล่านี้มีการสร้างไกลโคโปรตีนซึ่งจะถูกขนย้ายออกมาเป็น Basement membrane มากขึ้น ทำให้ Basement membrane หนา แต่เปราะ หลอดเลือดเหล่านี้จะฉีกขาดได้ง่าย เลือดและสารบางอย่างที่อยู่ในเลือดจะรั่วออกมา และมีส่วนทำให้ Macula บวม ซึ่งจะทำให้เกิด Blurred vision หลอดเลือดที่ฉีกขาดจะสร้างแขนงของหลอดเลือดใหม่ออกมามากมายจนบดบังแสงที่มา ตกกระทบยัง Retina ทำให้การมองเห็นของผู้ป่วยแย่ลง
ตาหรือจอตาเสื่อม หรือมองเห็นจุดดำลอยไปมา และอาจจะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด

2.ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy) ไตมักจะเสื่อม จนเกิดภาวะไตวาย พยาธิสภาพของหลอดเลือดเล็กๆ ที่ Glomeruli จะทำให้ Nephron ยอมให้ albumin รั่วออกไปกับ filtrate ได้ Proximal tubule จึงต้องรับภาระในการดูดกลับสารมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นนานๆ ก็จะทำให้เกิด Renal failure ได้ ซึ่งผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตภายใน 3 ปี นับจากแรกเริ่มมีอาการ

3.ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท (Diabetic neuropathy) เบาหวาน จะทำให้หลอดเลือดเล็กๆ ที่มาเลี้ยงเส้นประสาทบริเวณปลายมือปลายเท้าเกิดพยาธิสภาพ ก็จะทำให้เส้นประสาทนั้น ไม่สามารถนำความรู้สึกต่อไปได้ เช่นรู้สึกชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือ เมื่อผู้ป่วยมีแผล ผู้ป่วยก็จะไม่รู้ตัว และไม่ดูแลแผลดังกล่าว ประกอบกับเลือดผู้ป่วยมีน้ำตาลสูง จึงเป็นอาหารอย่างดีให้กับเหล่าเชื้อโรค และแล้วแผลก็จะเน่า และนำไปสู่ Amputation ในที่สุด ในผู้ชายอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (impotence)

4.โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary vascular disease) เบาหวาน เป็นตัวการที่จะเร่งให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกายและเมื่อหลอด เลือดที่เลี้ยงหัวใจเสื่อมสภาพจาก เบาหวาน ประกอบกับการมีไขมันในเลือดสูง ก็จะส่งผลให้มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เกิด โรคหัวใจขาดเลือด แต่หากหลอดเลือดเกิดอุดตัน ก็จะเกิดอาการ กล้ามเนื้อหัวใจตาย ในผู้ป่วย เบาหวาน บางราย กล้ามเนื้อหัวใจมีการทำงานน้อยกว่าปกติ คือ มีการบีบตัวน้อยกว่าปกติอันเนื่องมาจาก เส้นเลือดฝอยเล็กๆที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติจาก เบาหวาน ซึ่งจะทำการรักษาได้ยาก การรักษาที่ดีที่สุดคือ การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ปัญหาที่สำคัญ มากอีกประการหนึ่งของผู้เป็น เบาหวาน คือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจจะไม่แสดงอาการผิดปกติซึ่งจะบ่งชี้ ว่าเป็นโรคหัวใจให้เห็นก่อน เช่นอาการเจ็บหน้าอก อันเป็นอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคหัวใจทั่วไป ดังนั้นผู้เป็น เบาหวาน บางรายอาจจะแสดงอาการครั้งแรกด้วยอาการที่รุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือ หัวใจล้มเหลว ทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ช้ากว่าปกติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้

5.โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease) ผู้เป็น เบาหวาน จะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดอัมพาตชนิด หลอดเลือดตีบได้สูง เพราะ เบาหวาน ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งได้ง่าย โดยจะมีหลอดเลือดแข็งทั่งร่างกายและถ้าเป็นที่หลอดเลือดของสมอง ก็จะเกิดอัมพาตขึ้น โดยอัตราเสี่ยงของผู้ป่วยที่เป็น โรคเบาหวาน จะมีโอกาสเป็นอัมพาตได้สูงกว่าผู้ป่วยปกติ 2-4 เท่า โดยจะมีอาการเบื้องต้นสังเกตุได้จาก กล้ามเนื้อแขน ขาอ่อนแรงครึ่งซีกอย่างทันทีทันใดหรือเป็นครั้งคราว ใบหน้าชาครึ่งซีกใดซีกหนึ่ง พูดกระตุกกระตัก สับสนหรือพูดไม่ได้เป็นครั้งคราว ตาพร่าหรือมืดมองไม่เห็นไปชั่วครู่ เห็นแสงผิดปกติ วิงเวียน เดินเซไม่สามารถทรงตัวได้ กลืนอาหารแล้วสำลักบ่อยๆ มีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรงโดยอาการปวดมักจะเกิดในขณะที่เคร่งเครียด หรือมีอารมณ์รุนแรง

6.โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย (Peripheral vascular disease)

7.แผลเรื้อรังจากเบาหวาน (Diabetic ulcer)


โรคเบาหวานก็คือโรคที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถการย่อยสลายน้ำตาลในร่างกาย ของเรา ตามที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกาพบว่า ชาวอเมริกันมากกว่ายี่สิบล้านคนนั้นทุกข์ทรมานกับโรคชนิดนี้ ถึงแม้ว่าจำนวนหนึ่งในสี่ของคนที่เป็นโรคเบาหวานจะไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นมันก็ ตาม คนสามารถทรมานนับปีโดยหารู้ไม่ว่าโรคเบาหวานนั้นกำลังทำลายร่างกายของเขา อยู่อย่างเงียบๆ ซึ่งอาการดังต่อไปนี้ก็คืออาการของโรคเบาหวานที่ทุกคนควรจะรู้เอาไว้ครับ

1.     โมโหง่าย

ความแปรเปลี่ยนทางอารมณ์เป็นเรื่องที่เราต้องระวังไว้ จากคำพูดของผู้เชี่ยวชาญแห่งสมาคมโรคเบาหวานของอเมริกา มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเพิกเฉยต่อความแปรปรวนอารมณ์โดยถือว่าเป็นอาการของ วันแย่ๆของการทำงาน , เสียงร้องไห้งอแงของเด็กๆ หรือ การทะเลาะกันกับคู่แต่งงานของคุณ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือดที่เกินปกติก็สามารถทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ได้ด้วย
ลองนึกดูว่าคุณอารมณ์เสียแค่ไหนเวลาคุณหิวมาได้ซักพักนึงแล้วคุณกลับมามี ชีิวิตชีวาอีกครั้งหลังจากมีอาหารลงไปแตะกระเพราะของคุณอย่างไร

2.     การขับปัสสาวะบ่อยครั้ง

การที่จะต้องลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อที่จะไปเข้าห้องน้ำนั้นเป็นเรื่องที่น่า รำคาญ แล้วการที่จะต้องปฏิบัติทุกๆสองชั่วโมงอาจจะเป็นสัญญาณว่าคุณได้เป็นโรคเบา หวานเสียแล้ว การขับปัสสาวะบ่อยนั้นเป็นอาการทั่วไปที่สุดของโรคเบาหวาน , แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าว เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดของคุณพุ่งสูงขึ้นจนผ่านระดับปกติไปแล้ว ไตของคุณก็จะส่งผ่านส่วนที่เกินมาไปที่น้ำปัสสาวะ ทำให้การสร้างน้ำปัสสาวะนั้นเพิ่มขึ้นตามน้ำตาล

3.     การกระหายน้ำที่เกินปกติ

ทุกๆคนมีประสบการณ์กับอาการกระหายน้ำหลังจากการออกกำลังกายหรือผ่านไปซักสอง สามชั่วโมงโดยไม่ได้ดื่มน้ำเลย แต่ว่าอาการปากแห้งอย่างต่อเนื่องอาจจะหมายถึงอะไรบางอย่างที่มากกว่าการที่ คุณจะต้องเริ่มรับของน้ำเข้าสู่ร่างกาย ในฐานะที่เป็นบอกอาการของโรคเบาหวานแล้ว การหิวน้ำที่มากเกินไปนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไกล้ชิดกับการปัสสาวะบ่อยครั้ง เพราะว่าของเหลวนั้นถูกขับออกมาจากร่างกาย ระบบร่างกายของคุณก็เลยคงระดับน้ำไว้ไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวลถ้าหากคุณกระหายน้ำเป็นครั้งคราว เพราะเรื่องที่ต้องเป็นกังวลจริงๆก็คือเวลาที่คุณรู้สึกต้องการน้ำอย่าง รุนแรงโดยที่ไม่รู้สึกพอเสียที นายแพทย์กล่าวเพิ่มเติม

4.     ความหิวรุนแรงและอาการอ่อนเพลีย

เพราะว่าคนที่เป็นเบาหวานนั้นขับน้ำตาลส่วนใหญ่ที่พวกเขารับเข้าไปออก ร่างกายก็เลยไม่ได้อาหารที่มันต้องการ นายแพทย์กล่าว เนื่องจากร่างกายไม่ได้รับเชื้อเพลิงที่เพียงพอ ทำให้เกิดความรู้สึกหิวและความอ่อนล้า เวลาน้ำตาลในเลือดขึ้นสูง ทุกอย่างก็เหมือนไปเข้าห้องน้ำกันหมดนายแพทย์เสริม คุณจะลงเอยกับอาการหิวกระหายอยู่เรื่อยๆแล้วขาของคุณก็ขึ้นบันไดไม่ไหว ผู้คนมักจะถือว่าอาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้านั้นมาจากการที่อายุมากขึ้น แต่แพทย์แนะนำว่าให้สังเกตดีๆ

5.     ทัศนวิสัยพร่ามัว

เช่นเดียวกับอาการโรคเบาหวานอื่นๆ การที่สายตาพร่ามัวนั้นก็เกี่ยวข้องกับน้ำ เวลาที่ระดับน้ำตาลของคนเราพุ่งสูงขึ้น น้ำนั้นจะถูกขับออกออกมาจากเลนส์ของตา ทำให้เลนส์เปลี่ยนรูปร่างเป็นการตอบสนอง เมื่อน้ำถูกแทนที่กลับเข้าไปแล้ว เลนส์ตาก็จะพองกลับขึ้นมา จากคำพูดของแพทย์ที่บอกว่า ดวงตานั้นทำหน้าที่เหมือนกับขนมปังแครกเกอร์ในถ้วยน้ำและดูดซับน้ำมากที่สุด เท่าที่มันจะทำได้ ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ เลนส์ของดวงตานั้นกำลังยุบและพองตัว เขากล่าว, ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทำให้วิธีที่ดวงตารับแสงนั้นเปลี่ยนไปด้วย

6.     การสูญเสียน้ำหนักที่ผิดปกติ

ถึงแม้ว่าโรคเบาหวานมักจะเกี่ยวจ้องกับโรคอ้วน การสูญเสียน้ำหนักที่ไม่แน่ชัดอาจจะชี้ไปถึงความไม่สมดุลย์ของน้ำตาลในเลือด ได้ เพราะว่าน้ำตาลไม่สามารถถูกย่อยสลายลงได้ มันจึงถูกขับออกก่อนที่แคลอรี่จะมีโอกาสได้เปลี่ยนมันไปเป็นเชื้อเพลิง สำหรับร่างกาย พลังงานแคลอรี่นั้นถูกใช้ไปอย่างเสียเปล่านายแพทย์อธิบายน้ำตาลไม่ได้ถูกใช้เพื่อที่จะชดเชยกัน ร่างกายก็เริ่มที่จะอาศัยพลังงานที่ถูกเก็บไว้ร่างกายในรูปแบบของไขมัน เมื่อร่างกายเริ่มใช้ส่วนสำรองเหล่านี้แล้ว คนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจึงมักเห็นว่าน้ำหนักและรอบเอวของตนลดลง

7.     อาการปวดขา

ความไม่สมดุลย์ของน้ำตาลในเลือดส่งผลกระทบต่อทุกๆส่วนของร่างกายรวมไปถึง ระบบประสาทด้วย ดังนั้นระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจึงทำให้ความรู้สึกตอบรับความเจ็บปวดของคน ไม่ทำงานตามปกติ แม้กระทั่งคนที่มีจุดตอบรับความเจ็บปวดที่สูง เวลาที่ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น พวกเขาจะเริ่มรู้่สึกถึงความเจ็บปวดที่พวกเขาอาจไม่เคยรู้สึกมาก่อน,นาย แพทย์กล่าว ซึ่งเขาได้เน้นว่าปรากฏการณ์เช่นนี้จะปรากฏขึ้นชัดเจนโดยเฉพาะที่ขาและเท้า นั่นก็เป็นเพราะว่าปกติแล้วคนเราจะถ่ายแรงกดปริมาณมากลงบนขาท่อนล่าง

8.     ผิวหนังแห้งและมีอาการคัน

เวลาที่คุณมีน้ำตาลในเลือดสูง ความไม่สมดุลย์ของน้ำไม่ได้ส่งกระทบเพียงแค่ดวงตา กล้ามเนื้อและระบบประสาท ของคุณ แต่มันยังส่งผลกระทบถึงผิวหนังของคุณด้วย เพื่อที่ชดเชยส่วนที่ขาดหายไป,ร่างกายจะขโมยน้ำมาจากอวัยวะต่างๆ และผิวหนังเองก็ดูเหมือนว่าจะเป็นส่วนนึงที่เป็นแหล่งความชื้นที่ใหญ่ที่สุด โดยเทียบเคียงจากขนาดของมัน
ทุกคนก็ผิวแห้งเป็นบางครั้งอยู่แล้ว แล้วคุณควรจะเป็นกังวลเมื่อไหร่ล่ะ? มันขึ้นอยู่กับว่าปกติแล้วผิวของคุณเป็นยังไง แล้วความแตกต่างที่คุณเห็นมันมากแค่ไหน นายแพทย์กล่าว ถ้ามันเป็นอยู่เรื่อยๆแล้วผิวคุณดูเปลี่ยนไปมาก มันก็อาจจะถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องไปพบแพทย์

9.     แผลหายช้า

บาดแผลที่หายช้าหรือว่าเจ็บปวด เป็นอีกอาการของโรคเบาหวานที่ถูกมองข้ามไป ในขณะที่น้ำตาลในเลือดที่สูงนั้นดูดของน้ำออกจากร่างกาย , มันทำให้เลือดนั้นมีความเข้มข้นขึ้นด้วย ซึ่งทำให้เป็นเรื่องลำบากสำหรับเซลล์เม็ดเลือดขาวที่คอยปกป้องเราจากการติด เชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเดินทางผ่านเข้ามาในร่างกาย ซึ่งตามลำดับแล้วทำให้มันยากขึ้นสำหรับเซลล์เหล่านี้ที่จะช่วยให้แผลรักษา ตัว คนที่เป็นโรคเบาหวานอาจจะรู้สึกตัวว่าได้ใช้เวลานานขึ้นสำหรับอะไรที่เล็กๆ น้อยๆอย่างรอยถลอกตื่นๆตามหัวเข่าหรือข้อศอกจะหาย แม้กระทั่งสิวก็อาจจะขึ้นอยู่นานกว่าเก่าซักสองสามวัน

ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vcafe/141412

1 ความคิดเห็น: