โรคเริม Herpes simplex
เริม เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเชื้อไวรัส พุขึ้นเป็นตุ่มใสเล็ก ๆ พบได้ในคน
ทุกวัย และมักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
ทุกวัย และมักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสเริม หรือเฮอร์ปีส์ซิมเพลกซ์ (Herpes simplex virus type 1 = HSVI) ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิดได้แก่ชนิด 1 หรือ HSV – 1 (ก่อให้เกิดเริมตามผิวหนังทั่วไปและในช่องปากเป็นส่วนใหญ่) กับชนิด 2 หรือ HSV 2 (ก่อให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศเป็นส่วนใหญ่) ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง ระยะฟักตัวประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ สำหรับโรคเริมที่อวัยวะเพศ ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการเป็นแผลที่อวัยวะเพศ
อาการ มักจะมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ นำมาก่อนเล็กน้อย แล้วมีตุ่มน้ำใสขนาด 2 – 3 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กันเป็นกลุ่มโดยรอบจะเป็นผื่นแดง ต่อมาตุ่มน้ำใสนี้จะกลายเป็นสีเหลืองขุ่น แล้วแตกกลายเป็นสะเก็ด หายไปเองภายใน 1 – 2 สัปดาห์ (เร็วสุด 3 วัน) ด้วยลักษณะของตุ่มใสที่อยู่กันเป็นกลุ่มแบบนี้ชาวบ้านบางแห่ง จึงเรียกโรคนี้ว่า ขยุ้มตีนหมาตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่ ริมฝีปาก แก้ม จมูก หู ตา ก้น อวัยวะเพศนอกจากนี้ ต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงมักจะโตและเจ็บด้วย เมื่อหายแล้ว เชื้อจะหลบไปที่ปมประสาท แล้วอาจโผล่ขึ้นมาใหม่ ทำให้โรคกำเริบได้บ่อย ๆ ประมาณปีละ 1 – 4 ครั้ง มักเกิดหลังมีไข้ ถูกแดดจัด อาหารไม่ย่อยร่างกายอิดโรย อารมณ์เครียด ระหว่างมีประจำเดือนหรือตั้งครรภ์
เริมที่อวัยวะเพศ (Herpes genitalis) ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคนี้อยู่ก่อน หลังจากนั้น 4 – 7 วัน จะมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ ต่อมาจะขึ้นเป็นตุ่มใส ๆ เล็ก ๆ หลายตุ่มที่อวัยวะเพศ ในผู้ชายอาจขึ้นที่หนังหุ้มปลายองคชาต ที่ตัวหรือปลายองคชาต ส่วนผู้หญิงอาจขึ้นที่ปากช่องคลอด ในช่องคลอด หรือปากมดลูก ต่อมาตุ่มใสเหล่านี้จะแตกกลายเป็นแผลเล็ก ๆ หลายแผลคล้าย ๆ แผลถลอกและมีอาการเจ็บ แล้วแผลจะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 1 – 2 สัปดาห์ โดยไม่เป็นแผลเป็นต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ (ไข่ดัน) จะโตและเจ็บด้วยเมื่อเคยเป็นครั้งหนึ่งแล้ว เชื้อจะหลบไปที่ปมประสาทเมื่อร่างกายทรุดโทรมหรือมีการเสียดสี (การร่วมเพศ) เชื้อก็จะโผล่ขึ้นมาทำให้เกิดโรคได้อีกโดยไม่ได้ติดเชื้อมาใหม่ ดังนั้นคนที่เคยเป็นโรคนี้ก็อาจจะมีอาการกำเริบซ้ำ ๆ ซาก (ประมาณปีละ 3 - 4 ครั้ง ) เมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันดีก็จะหายขาดไปได้เอง
เริมที่ริมฝีปาก (herprs labialis หรือ fever blister) มักขึ้นบริเวณผิวหนังใกล้ ๆ ริมฝีปาก เวลามีประจำเดือน ถูกแดด หรือเครียด อาจพบร่วมกับไข้หวัด ปอดบวม มาลาเรีย การติดเชื้อสเตรปโตค็อกคัส (เช่นทอนซิลอักเสบ) เชื้อเมนิงโกค็อกคัส (โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ดูโรคที่ 66) และเชื้อริกเกตเซีย (เช่น ไข้ไทฟัส ดูโรคที่ 226)
เริมในช่องปาก มักพบในเด็กอายุ 1 – 5 ปี ซึ่งมักเป็นการติดเชื้อครั้งแรก มีอาการพุเป็นตุ่มน้ำเจ็บปวดแล้วแตกเป็นแผลตื้น ๆ มีฝ้าขาว หรือเลือดแห้งกรัง มักขึ้นตรงบริเวณกระฟุ้งแก้ม เหงือก เพดานปาก ลิ้น บางครั้งอาจมีอาการรุนแรงจนกินอาหารไม่ได้
สิ่งตรวจพบ ตรวจพบตุ่มน้ำใสขนาด 2 - 3 มิลลิเมตร อยู่กันเป็นกลุ่มหรือพบตุ่มตกสะเก็ดหรือแผลเล็ก ๆ คล้ายรอยถลอก และอาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงโต
อาการแทรกซ้อน ส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง แล้วอาจกำเริบเป็นครั้งคราว ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ตุ่มกลายเป็นหนองพุพองจากการอับเสบซ้ำของเชื้อแบคทีเรีย อาจทำให้เป็นสมองอักเสบ ซึ่งพบได้น้อยมาก
ถ้าเกิดที่ตา อาจทำให้กระจกตาอักเสบ (keratitis) ถึงกับทำให้สายตาพิการได้
ถ้าเกิดในผู้หญิงระหว่างตั้งครรภ์ เชื้ออาจผ่านไปยังทารก ทำให้ทารกพิการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้
ถ้าเกิดในช่องคลอดของหญิงครรภ์แก่ ทารกที่คลอดออกมาอาจได้รับเชื้อ กลายเป็นโรคเริมชนิดรุนแรงอาจถึงตายได้ จึงควรแนะนำให้ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อทางช่องคลอด ถ้าเกิดที่ปากมดลูก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้
การรักษา
1.ให้การรักษาตามอาการ เช่น ถ้าปวดหรือมีไข้ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ถ้ารู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ ให้ทาด้วยยาแกผดผื่นคัน ขณะพุเป็นตุ่มน้ำใสในระยะเริมแรก อาจใช้เข็มที่ปลอดเชื้อ สะกิดให้แตก แล้วใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน(เบตาดีน) แอลกอฮอล์ หรือทิงเจอร์ที่ใส่แผลสด (Merthiolate) เช็ดแผลวันละ 2 - 3 ครั้ง จะช่วยให้แผลแห้งเร็วขึ้น ถ้าพบขณะตุ่มแตกเป็นแผลแล้ว ก็ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดวันละ 2 - 3 ครั้ง
ห้ามใช้ครีมสเตอรอยด์ ทาอาจทำให้แผลลุกลามหายยากหรือติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเป็นหนองเฟะ(ซึ่งพบได้น้อยมาก) ให้ยาปฏิบัติชีวนะ เช่น คล็อกซาซิลลิน หรืออีริโทรไมซิน นาน 5 – 7 วัน
2.เด็กที่เป็นเริมในช่องปากให้ดื่มน้ำบ่อย ๆ บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อย ๆ แล้วใช้กลีเวอรีนโบแรกซ์ หรือเจนเชียนไวโอเลต ป้ายภายในช่องปากวันละ 3 – 4 ครั้ง ถ้ามีไข้ให้พาราเซตามอล และถ้ากินไม่ได้ อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
3.ถ้าเป็นรุนแรงหรือขึ้นในตาดำ ควรนำส่งโรงพยาบาลภายในเวลา 24 ชั่วโมง ในปัจจุบันมียาต้านไวรัส ได้แก่ อะไซโคลเวียร์ (acyclovir) ซึ่งมีชื่อทางการค้า เช่น โซวิแรกซ์ (Zovirax) ไวโรแรกซ์ (Virorax) ยานี้จะใช้ในกรณีที่มีอาการสมองอักเสบจากเชื้อเริม ทารกแรกเกิดที่ติดเชื้อเริมระหว่างคลอด กระจกตาอักเสบจากเชื้อเริม
สำหรับกระจกตาอักเสบจากเชื้อเริม ควรปรึกษาจักษุแพทย์ ซึ่งจะให้การรักษาโดยให้ยาต้านไวรัสชนิดหยอดตาหรือป้ายตา เช่น ยาหยอดตาไตรฟลูริดีน (Trifluridine) ชนิด 1 % หยอดวันละ 9 ครั้ง (ประมาณทุก 2 ชั่วโมง) ครั้งละ 1 หยด หรือขี้ผึ้งป้ายตาไวดาราบีน (Vidarabine) ชนิด 3 % ป้ายวันละ 5 ครั้ง หรือขี้ผึ้งป้ายตาอะไซโคลเวียร์ ชนิด 3 % ป้ายวันละ 5 ครั้ง นาน 1 – 2 สัปดาห์ในรายที่เป็นรุนแรง อาจต้องให้อะไซโคลเวียร์ กินครั้งละ 200 – 400 มิลลิกรัม วันละ 5 ครั้งนาน 10 วัน
สำหรับเริมที่อวัยวะเพศ ที่เพิ่งเป็นครั้งแรกและมีอาการไม่เกิน 5 วัน ให้กินยาเม็ดอะไซโคลเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 5 ครั้งห่างกันทุก 4 ชั่วโมง (เว้นช่วงนอนหลับตอนกลางคืน) หรือครั้งละ 400 มิลลิกรัมทุก 8 ชั่วโมง นาน 5 – 10 วัน ทั้งนี้เพื่อย่นระยะให้หายเร็วขึ้น และลดการแพร่โรค แต่ไม่มีผลในการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ส่วนการใช้ครีมอะไซโคลเวียร์ ชนิด 5 % ทาแผลเริมทุก 4 ชั่วโมง นาน 5 – 10 วัน อาจทำให้ผื่นหายเร็วขึ้น แต่ได้ผลสู้ชนิดกินไม่ได้
ข้อแนะนำ
1.พยายามให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วยว่า โรคนี้ถึงแม้จะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง แต่โดยทั่วไปก็ไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด ไม่ควรเปลี่ยนหมอเปลี่ยนโรงพยาบาลบ่อย ยกเว้นในผู้หญิง ถ้าเป็นที่ปากมดลูกควรตรวจหาเชื้อมะเร็งปากมดลูกปีละครั้งถ้าเป็นระหว่างตั้งครรภ์หรือใกล้คลอด ควรแนะนำไปพบแพทย์ อาจต้องผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
2.ถ้าเป็นเริมที่อวัยวะเพศ ควรงดร่วมเพศจนกว่าแผลเริมจะหาย หรือไม่ก็ควรป้องกันการแพร่เชื้อโดยการใช้ถุงยางอนามัย
3.ถึงแม้ยังไม่มีวิธีรักษาโรคเริมให้หายขาด ไม่ให้เป็นซ้ำ แต่คณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกาได้แนะนำให้ผู้ที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศกำเริบตั้งแต่ปีละ 6 ครั้งขึ้นไป กินอะไซโคลเวียร์ (200 มิลลิกรัม) ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น นาน 1 ปี จะช่วยระงับอาการกำเริบให้ห่างขึ้นได้ การใช้ยาขนาดนี้พบว่ามีความปลอดภัยสูง
4.ผู้ที่เป็นโรคเริมกำเริบถี่มาก หรือเป็นรุนแรงหรือเป็นแผลเริมเรื้อรังเกิน 1 เดือน ควรตรวจเลือดหาเชื้อ เอชไอวี เพราะอาจพบว่าเป็นเอดส์ได้
5.ครีมพญายอ ขององค์การเภสัชกรรม ซึ่งทำจากสมุนไพร ได้ผ่านการศึกษาวิจัยแล้วพบว่า สามารถรักษาเริมที่อวัยวะเพศที่เป็นครั้งแรกได้ผลพอ ๆ กับครีมอะไซโคลเวียร์ ( ซึ่งประสิทธิผลสู้อะไซโคลเวียร์ ชนิดกินไม่ได้) และไม่สามารถป้องกันการกำเริบซ้ำ ส่วนเริมที่กำเริบซ้ำ จะใช้ยาทาเหล่านี้ไม่ได้ผล
“ผู้ที่เป็นแผลเริมเรื้อรังเกิน 1 เดือน อาจเป็นโรคเอดส์ได้”
ที่มา ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป และหนังสือใกล้หมอปีที่ 23 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2542
http://rxama.com/forum/message.php? Action NewReplyMessage&BoardID=l&TopicID=369*
ที่มา หนังสือ นิตยสารใกล้หมอปีที่ 23 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2542
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น