วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โรคบิด


โรคบิด
โรคบิด หมายถึง กลุ่มโรคที่มีอาการถ่ายอุจจาระเหลวครั้งละจำนวนน้อยแต่บ่อยครั้ง ลักษณะอุจจาระจะเป็นมูกและเลือด หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง อาจอุจจาระเป็นน้ำเหลว จนถึงรุนแรง ถึงอุจจาระเลือดปนหนอง มักจะมีอาการปวดท้องเกร็งและถ่ายปวดเบ่งคล้ายถ่ายอุจจาระไม่สุด
แบ่งออกเป็น
1) Bacillary dysentery (บิดไม่มีตัว) หรือ Shigellosis
สาเหตุ     เกิดจากเชื้อ Shigella spp. โดยปกติเชื้อสายที่ทำให้เกิดระบาดได้ทั่วไป โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา คือ S.dysenteriae type 1 และมีอัตราการป่วยตายสูงกว่าซีโรไทป์อื่น ประเทศไทยเคยมีการระบาดของซีโรไทป์นี้ ในจังหวัดต่างๆ ในภาคอีสานแต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว S.sonnei เป็นสาเหตุพบมากสุด
แหล่งรังโรค     ที่สำคัญคือคนเท่านั้น
การติดต่อของโรค     โดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนจากอุจจาระผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะ การป่วยมักเกิดหลังได้รับเชื้อแม้จำนวนน้อยเพียง 10-100 ตัว ดังนั้นการติดต่อจากผู้ป่วยไปสู่ผู้อื่นจากการสัมผัสโดยตรงจึงเกิดขึ้นง่าย
ระยะติดต่อ     ตั้งแต่แสดงอาการจนกระทั่งไม่พบเชื้อในอุจจาระของผู้ป่วย โดยปกติใช้เวลา ประมาณ 4 สัปดาห์ การให้ยาต้านจุลชีพที่เหมาะสม โดยปกติจะช่วยลดระยะเวลาของการเป็นพาหะให้น้อยกว่า 1 สัปดาห์
อาการและอาการแสดง     นอกจากอาการดังกล่าวข้างต้น ในเด็กที่ขาดอาหาร หรือภูมิต้านทานต่ำ เชื้ออาจแพร่กระจายเข้าสู่กระแสโลหิตได้ และถ้าไม่ได้รับการรักษาโดยเร็วจะทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนร่วมได้ เช่น toxic megacolon, paralytic ileus เลือดออกในลำไส้ได้ ลำไส้ใหญ่ทะลุ โลหิตเป็นพิษจากการติดเชื้อซ้ำเติมของแบคทีเรียอื่น
     โรคบิด หมายถึง กลุ่มโรคที่มีอาการถ่ายอุจจาระเหลวครั้งละจำนวนน้อยแต่บ่อยครั้ง ลักษณะอุจจาระจะเป็นมูกและเลือด หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง อาจอุจจาระเป็นน้ำเหลว จนถึงรุนแรง ถึงอุจจาระเลือดปนหนอง มักจะมีอาการปวดท้องเกร็งและถ่ายปวดเบ่งคล้ายถ่ายอุจจาระไม่สุด แบ่งออกเป็น
2) Amoebic dysentery (บิดมีตัว) หรือ Amoebiasis
สาเหตุ     เกิดจากเชื้อ Entamoeba histolytica
แหล่งรังโรค     คนปกติมักเป็นผู้ป่วยเรื้อรังหรือปล่อย cyst ในอุจจาระแต่ไม่แสดงอาการ
การติดต่อของโรค     เกิดจากการกินผักดิบหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มี cyst ของเชื้อเข้าไปโดยตรง อาจเกิดจากเพศสัมพันธ์ (oral-and contact)
ระยะติดต่อ     ช่วงที่มี cyst ออกมากับอุจจาระ ซึ่งอาจนานเป็นปี แต่อาจเป็นชนิดไม่ก่อโรค
อาการและอาการแสดง     การติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่ปรากฏอาการ แต่อาจเป็นแบบบิดเฉียบพลัน มีไข้สูงหนาวสั่น อุจจาระร่วงมีเลือดหรือมูกปนเลือด หรือมีอาการเล็กน้อย อุจจาระร่วงมีเลือดหรือมูกปนสลับกับอาการท้องผูก เชื้ออาจแพร่กระจายไปตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดก้อนฝีที่ตับ ปอด หรือสมอง
3) Unspecified dysentery เกิดจากเชื้ออื่นๆ ได้แก่
     3.1 E.coli O157 : H7
 สาเหตุ     เกิดจากเชื้อ Escherichia coli serotype O157 : H7
แหล่งรังโรค     สัตว์เลี้ยงประเภทวัว ควาย สัตว์ปีก เช่น ไก่งวง และในคน
การติดต่อของโรค
     การรับประทานอาหารปนเปื้อนเชื้อ ส่วนใหญ่ ได้แก่ เนื้อวัว ที่ปรุงแบบไม่สุก แฮมเบอร์เกอร์ แซนวิชที่ใช้แฮม ไก่งวง เนยแข็ง นมดิบ และน้ำแอปเปิล เป็นต้น การติดต่อจากคนไปคนได้ พบในโรงพยาบาล ภายในครอบครัวและสถานเลี้ยงเด็ก เชื้อเพียง 100 ตัวก็ก่อให้เกิดอาการของโรคได้
ระยะติดต่อ     3-9 วัน เฉลี่ยประมาณ 4 วัน
อาการและอาการแสดง
     เป็นสาเหตุการระบาดของ hemorrhagic colitis อุจจาระมีลักษณะเป็นเลือดชัดเจน แต่ไม่พบเม็ดเลือดขาวยังอาจเกิด hemorrhagic-uremic syndrome
     3.2   E.coli O157 : H7
สาเหตุ
     ในคนส่วนใหญ่เป็นเชื้อ C.jejuni และ C.coli
แหล่งรังโรค
     สัตว์หลายชนิด เช่น วัว ควาย สัตว์ปีก สัตว์เลี้ยง เช่น สุนัข แมว สุกร แกะ นก สามารถแพร่เชื้อมาคนได้
การติดต่อของโรค
     โดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ  นม ที่ปนเปื้อนเชื้อ หรืออาจติดต่ดโดยสัมผัสโดยตรงกับสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อ
ระยะฟักตัว
     1-10 วัน เฉลี่ย 3-5 วัน
ระยะติดต่อ
     ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับยาปฏิชีวนะอาจนาน 2-7 สัปดาห์
อาการและอาการแสดง
     มีความรุนแรงแตกต่างกันออกไป ได้แก่ มีไข้ ปวดท้อง อุจจาระร่วง อาจมีอาเจียนร่วมด้วย อุจจาระร่วงมักถ่ายเป็นน้ำจำนวนมาก อาจสลับกับการถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสดปนอาจมีเยื่อเมือกและเม็ดเลือดสดปน อาการแทรกซ้อน มักเกิดหลังการติดเชื้อ C.jejuni ประมาณ 3 สัปดาห์ ได้แก่ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ,encephalopathy, stroke, Guillain-Barre syndrome และหนองในเยื่อหุ้มปอด (empyema)
คำแนะนำสำหรับประชาชน
    
โรคอุจจาระร่วง หรือ โรคติดต่อทางอาหารและน้ำ ทั้งหมดเป็นโรคที่ประชาชนสามารถป้องกันได้ด้วยการกันดูแลสุขอนามัยในการรับประทานอาหาร การเก็บอาหาร และการปรุงอาหาร รวมทั้งล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดกฎทอง 10 ประการ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคอุจจาระร่วง คือ
     1.   เลือกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างปลอดภัย เช่น เลือกนมที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ ผักผลไม้ควรล้างด้วยน้ำปริมาณมากๆ ให้สะอาดทั่วถึง
     2.   ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน
     3.   รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ
     4.   หากมีความจำเป็นต้องเก็บอาหารที่ปรุงสุกไว้นานกว่า 4-5 ชั่วโมง ควรเก็บไว้ในตู้เย็นส่วนอาหารสำหรับทารกนั้นไม่ควรเก็บไว้ข้ามมื้อ
     5.   ก่อนที่จะนำอาหารมารับประทานความอุ่นให้ร้อน
     6.   ไม่นำอาหารที่ปรุงสุกแล้วมาปนกับอาหารดิบอีก เพราะอาหารที่สุกอาจปนเปื้อนเชื้อโรคได้
     7.   ล้างมือให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นก่อนการปรุงอาหาร ก่อนรับประทาน และโดยเฉพาะหลังการเข้าห้องน้ำ
     8.   ดูแลความสะอาดของพื้นที่สำหรับเตรียมอาหาร ล้างทำความสะอาดหลังการใช้ทุกครั้ง
     9.   เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
     10. ใช้น้ำสะอาดในการปรุงอาหาร และควรระวังเป็นพิเศษในการใช้น้ำเพื่อเตรียมอาหารเด็กทารกได้
กฎ 3 ข้อ ขององค์การนามัยโลก
     อย่างไรก็ตามเมื่อประชาชนหรือเด็กในครอบครัวมีอาการของโรคอุจจาระร่วงก็สามารถเริ่มต้นรักษาได้ที่บ้านโดยใช้กฎ 3 ข้อ ขององค์การนามัยโลก
     1. ให้สารน้ำละลายเกลือแร่โอ อาร์ เอส หรือ ของเหลวมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
     2. ให้อาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก หรือน้ำข้าว หรือแกงจืด ไม่งดอาหาร เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร
     3. เมื่ออาการโรคอุจจาระร่วงไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือแพทย์ได้แก่
          - ถ่ายเป็นน้ำมากขึ้น
          - อาเจียนบ่อย กินอาหารไม่ได้
          - กระหายน้ำกว่าปกติ
          - มีไข้สูง
          - ถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือปนเลือด
วัคซีนป้องกันโรค
     สำหรับวัคซีนป้องกันโรคนั้นปัจจุบันมี
     1. วัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงชนิดกิน
     2. วัคซีนป้องกันโรคไข้ทัยฟอยด์ชนิดกิน
     การให้วัคซีนใช้เฉพาะคนที่เลี่ยงต่อการเกิดโรคเท่านั้น เช่น จะเดินทางไปในพื้นที่เกิดโรคเป็นประจำ หรือสมาชิกในครอบครัวเป็นพาหะเชื้อไข้ทัยฟอยด์ ส่วนวัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงอย่างแรงประสิทธิภาพของวัคซีน และระยะเวลาของภูมิคุ้มกันอยู่ในระยะสั้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น