โรคมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยท่านผู้อ่านคงจะได้ยินข่าวเพื่อนหรือญาติเป็นมะเร็งเต้านม ดังนั้นคุณสุภาพสตรี หรือคุณสุภาพบุรุษควรมีความรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมไว้บ้าง โรคนี้สามารถเป็นกับคุณสุภาพบุรุษได้
มะเร็งคืออะไร
ร่างกายประกอบด้วยเซลล์เป็นจำนวนมาก ปกติเซลล์จะแบ่งตัวตามความต้องการของร่างกาย เช่น มีการผลิตเม็ดเลือดแดงเพิ่มเมื่อมีการเสียเลือด มีการผลิตเม็ดเลือดข้าวเพิ่มเมื่อมีการติดเชื้อ เป็นต้น แต่มีเซลล์ที่แบ่งตัวโดยที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ทำให้เกิดเป็นเนื้องอก Tumor ซึ่งแบ่งเป็น Benign และ Malignant
- Benign tumor คือเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็งสามตัดออกได้และไม่กลับเป็นซ้ำ ไม่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น เช่น fibroadenoma, cyst, fibrocystic disease
- Malignant tumor เซลล์จะแบ่งตัวทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียง ที่สำคัญสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นที่อยู่ไกลโดยไปตามกระแสเลือด และน้ำเหลืองเรียกว่า Metastasis
โครงสร้างของเต้านม
เต้านมประกอบด้วยต่อมน้ำนมประมาณ 15-20 lobe ภายใน lobe ประกอบด้วย lobules และมีถุง bulbs ติดอยู่กับท่อน้ำนมซึ่งจะไปเปิดยังหัวนม nipple ภายในเต้านมยังมีหลอดเลือดและน้ำเหลือง [lymph] ซึ่งจะไปรวมกันยังต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้[axillary lymph node]
มะเร็งที่พบมากเกิดในท่อน้ำนมเรียก ductal carcinoma เมื่อมะเร็งแพร่กระจายมักไปตามต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ และอาจไปยังกระดูก ตับ ปอด โดยไปทางหลอดเลือด
หากคลำเต้านมตัวเองจะรู้สึกอย่างไร
ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นว่าเต้านมจะประกอบด้วยต่อมน้ำนม 15-20 lobesดังนั้นเมื่อเราคลำก็จะได้ต่อมน้ำนม นอกจากนั้นลักษณะเต้านมก็จะมีการเปลี่ยนแปลงตาม อายุ ระหว่างรอบเดือน การตั้งครรภ์ การให้นมบุตร การใช้ยาคุมกำเนิด วัยหมดประจำเดือน ปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะทำให้ลักษณะเต้านมมีการเปลี่ยนแปลง ท่านต้องคลำจนเกิดความคุ้นเคยว่าอะไรคือปกติ อะไรคือผิดปกติ
จะรูได้อย่างไรว่ามีก้อนที่เต้านม
หากท่านคลำเต้านมเป็นประจำ ท่านจะทราบได้ว่าเต้านมที่ท่านคลำได้ผิดปกติหรือไม่ เพราะหากก่อนหน้านี้ยังคลำไม่ได้แต่เพิ่งคลำก้อนได้แสดงว่ามีก้อนที่เต้านม
หากคลำได้ก้อนที่เต้านมควรปรึกษาแพทย์แผนกใด
ท่านอาจจะปรึกษาแพทย์ประจำตัวของท่านหรือแพทย์แผนกผ่าตัดหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมะเร็งซึ่งจะต้องนำชิ้นเนื้อไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง
การค้นพบมะเร็งในระยะเริ่มแรก
การค้นพบมะเร็งในระยะเริ่มแรกเป็นวิธีที่ทำให้การรักษาได้ผลดี คุณสุภาพสตรีมีส่วนร่วมในการค้นหาดังนี้
1. ตรวจเต้านมด้วยตนเอง ควรจะตรวจอย่างน้อยเดือนละครั้งระยะเวลาเหมาะสมที่จะตรวจคือหลังหมดประจำเดือน
2. ตรวจเต้านมโดยแพทย์ ควรตรวจตั้งแต่อายู 20 -39 ปี ขึ้นไปโดยตรวจทุก 3 ปี ส่วนผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปีควรตรวจด้วยแพทย์ทุกปี
3. ตรวจเต้านมโดย Mammographyซึ่งสามารถตรวจพบก่อนเกิดก้อนได้ 2 ปี
การตรวจ mammography เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะค้นพบมะเร็งในระยะเริ่มแรก แนะนำให้ตรวจทุก1-2 ปีสำหรับผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี สำหรับคุณผู้หญิงที่อายุน้อยกว่านี้หรือมีปัจจัยเสี่ยงควรปรึกษาแพทย์ว่าจะตรวจบ่อยแค่ไหนผู้ที่ตรวจเต้านมด้วยตัวเองต้องคำนึงถึงเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงขนาด และความตึงตามสภาวะรอบเดือน การตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน และการกินยาคุมกำเนิด แม้ว่าจะตรวจเต้านมด้วยตัวเองควรที่จะได้รับการตรวจด้วยแพทย์หรือ mammography
อาการของมะเร็งเต้านม
มะเร็งในระยะเริ่มต้นจะไม่มีอาการเจ็บหรือปวด เมื่อก้อนโตขึ้นจะทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
- คลำพบก้อนที่เต้านมหรือใต้รักแร้
- มีการเปลี่ยนแปลงของขนาดเต้านม
- มีน้ำไหลออกจากหัวนม หรือเจ็บ หัวนมถูกดึงรั้งเข้าในเต้านม
- ผิวที่เต้านมจะมีลักษณะเหมือนเปลือกส้ม
หากพบอาการดังกล่าวควรรีบปรึกษาแพทย์ แม้ว่าอาการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่มะเร็ง
การวินิจฉัยก้อนที่เต้านม
การวินิจฉัยหาสาเหตุของก้อน แพทย์จะซักประวัติเกี่ยวกับก้อน ประวัติครอบครัว ประวัติสุขภาพทั่วไปหลังจากนั้นแพทย์จะตรวจ
- Palpation แพทย์จะคลำขนาดของก้อน ลักษณะของก้อนแข็งหรือนิ่ม ผิวขรุขระหรือเลียบ ขยับเคลื่อนไหวได้หรือไม่ ต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้โตหรือไม่
- Mammography เป็นข้อมูลเพื่อช่วยในการวินิจฉัย
- Ultrasonography เพื่อแยกว่าก้อนนั้นเป็นของแข็งหรือของเหลว
จากข้อมูลดังกล่าวแพทย์จะตัดสินใจว่าจะวางแผนการรักษา แพทย์บางท่านอาจจะทำการตรวจเพิ่มโดยการตรวจ
- Aspiration ใช้เข็มเจาะดูดเอาน้ำออกและส่งหาเซลล์มะเร็งในกรณีที่ก้อนนั้นเป็นของเหลว
- Needle biopsy การใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อส่งพยาธิวิทยาเพื่อหาเซลล์มะเร็ง
- Surgical biopsy เป็นการผ่าตัดเอาก้อนออก และส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
เมื่อแพทย์ตัดสินใจจะผ่าตัดชิ้นเนื้อออกคุณสุภาพสตรีควรจะถามแพทย์ดังนี้
- คาดว่าผลชิ้นเนื้อเป็นอย่างไร
- ผ่าตัดนานแค่ไหน ใช้ยาสลบหรือไม่ เจ็บหรือไม่
- เมื่อไรจะทราบผลชิ้นเนื้อ
- ถ้าผลเป็นมะเร็งจะรักษากับใครดี
หากผลชิ้นเนื้อนั้นไม่ใช่เนื้อร้าย
โรคที่เป็นสาเหตุของก้อนที่เต้านมชนิดที่ไม่ใช่มะเร็งที่พบบ่อยๆได้แก่
1. Fibrocystic change เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดไม่เป็นมะเร็ง ก้อนนี้เกิดจากการกระตุ้นของฮอร์โมนทำให้มีถุงน้ำ มักจะมีอาการปวดบริเวณก้อนก่อนมีประจำเดือน มักจะเป็นตอนอายุ 30-50 ปีมักจะเป็นสองข้างของเต้านม มีหลายขนาด ตำแหน่งที่พบคือบริเวณรักแร้ ก้อนนี้ขยับไปมาได้ เมื่อวัยทองก้อนนี้จะหายไป หากเป็นโรคนี้ไม่ต้องรักษา
2. Fibroadenomas มักจะเกิดในช่วงอายุ 20-40 ปีไม่ปวด ก้อนเคลื่อนไปมา การรักษาผ่าเอาออก
3. Traumatic fat necrosis เกิดจากการที่เต้านมได้รับการกระแทกและมีเลือดออกในเต้านม มักเกิดในคนที่มีเต้าโต บางครั้งผู้ป่วยอาจจะไม่รู้ตัว ไขมันเกิดการอักเสบรวมกันเป็นก้อนซึ่งอาจจะปวดหรือไม่ก็ได้ ก้อนทั้งหมดจะไม่กลายเป็นมะเร็ง
จะทำอย่างไรเมื่อผลชิ้นเนื้อเป็นมะเร็ง
พยาธิแพทย์จะบอกผลชิ้นเนื้อว่ามะเร็งนั้นอยู่เฉพาะที่ยังไม่แพร่กระจาย [ non invasive ] หรือลุกลาม [ invasive] อาจมีการส่งตรวจพิเศษ โดยการทำ hormone receptor test เพื่อช่วยวางแผนการรักษา
หลังจากทราบผลชิ้นเนื้อว่าเป็นมะเร็งยังมีเวลาอีกหลายสัปดาห์ที่จะปรึกษาแพทย์ถึงแผนการรักษา ท่านควรถามบางคำถามกับแพทย์ของท่าน
- ผลชิ้นเนื้อเป็นชนิดไหน และเป็นระยะไหน
- จะให้พยาธิแพทย์อ่านซ้ำจะได้หรือไม่เพราะอะไร
- โอกาสที่มะเร็งจะแพร่กระจายมีมากหรือไม่
- ได้ตรวจ progesterone receptor หรือไม่ผลเป็นอย่างไร
- จะต้องตรวจอย่างอื่นอีกหรือไม่
- จะใช้วิธีไหนรักษา
- ข้อดีของการรักษาแต่ละอย่าง
- ปัจจัยเสี่ยง และผลข้างเคียงของกางรักษาแต่ละอย่าง
- มีการรักษาหรือทดลองใหม่ๆที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยหรือไม่
วิธีการรักษา
สมัยก่อนจะทำการรักษาโดยการตัดชิ้นเนื้อตรวจดูว่าเป็นมะเร็งหรือไม่หากเป็นมะเร็งก็ตัดเต้านมออกเพราะเชื่อว่าการรอเวลาจะทำให้มะเร็งแพร่กระจาย แต่จากการศึกษาพบว่าการรักษาที่เหมาะสมจะทำ 2 ขั้นตอนโดยการตัดชิ้นเนือออกไปตรวจเป็นบางส่วนหากผลออกมาเป็นมะเร็งจึงค่อยนัดมาผ่าตัดเต้านมออก
1. การผ่าตัด ท่านควรดูแลตัวอย่างไรบ้างหากเกิด Lymphedema
- ยกของหรือกระเป๋าด้วยแขนอีกข้าง
- ระวังผิวไหม้จากแดดเผา
- เจาะเลือด วัดความดันโลหิต หรือให้เคมีบำบัด ที่แขนอีกข้าง
- ห้ามโกนขนรักแร้ ระวังเกิดแผล
- ถ้าเกิดบาดแผลให้รีบล้างและใส่ยาปฏิชีวนะแล้วรีบปรึกษาแพทย์
- ให้สวมถุงมือเวลาทำสวนหรือสัมผัสสารเคมีที่ระคายเคือง
- ห้ามใส่เครื่องประดับแขนข้างขั้น
ก่อนการผ่าตัดควรถามแพทย์ผู้รักษาดังต่อไปนี้
- จะผ่าตัดชนิดไหน
- จะเตรียมตัวผ่าตัดอย่างไร
- จะตัดเต้านมบางส่วนร่วมกับรังสีรักษาได้หรือไม่
- ต้องตัดต่อมน้ำเหลืองด้วยหรือไม่
- จะมีแผลเป็นหรือไม่ แผลน่าเกลียดหรือไม่
- ถ้าจะทำศัลยกรรมตกแต่งจะทำได้หรือไม่
- จะออกกำลังกายได้หรือไม่
2. Radiation therapy ใช้รังสีเพื่อฆ่าหรือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยทั่วไปให้ 5 วันต่อสัปดาห์ติดต่อกัน 5-6 สัปดาห์ บางครั้งอาจให้รังสีรักษา เคมีบำบัด หรือให้ฮอร์โมนก่อนการผ่าตัดเพื่อให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง ง่ายต่อการผ่าตัด
ก่อนรับการรักษาด้วยรังสีรักษาคุณควรรู้อะไรบ้าง
- จำเป็นต้องให้รังสีรักษาหรือไม่
- ปัจจัยเสี่ยงหรือผลข้างเคียงของการรักษา
- จะเริ่มรักษา และสิ้นสุดเมื่อไร
- จะมีสภาพอย่างไรขณะรักษา
- จะดูแลตัวเองอย่างไรขณะรักษา
- สภาพเต้านมจะเป็นอย่างไร
- โอกาสจะเป็นมะเร็งอีกครั้งมีหรือไม่
3. Chemotherapy เคมีบำบัด ใช้ยาฆ่ามะเร็งอาจเป็นยาฉีดหรือยากิน มักจะให้ระยะหนึ่งแล้วหยุดจุดประสงค์ของการให้คือ
- เพื่อป้องกันมะเร็งกลับเป็นซ้ำหลังการผ่าตัด
- ลดขนาดของก้อนมะเร็งก่อนผ่าตัด
- เพื่อควบคุมโรคในรายที่มะเร็งแพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่น
4. Hormone therapy ให้ฮอร์โมนเพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งจะใช้ในรายที่ให้ผลบวกต่อ estrogen หรือ progesterone receptor
การเลือกวิธีรักษา
การเลือกการรักษาขึ้นกับปัจจัยต่างๆดังนี้
- อายุ
- ภาวะประจำเดือน
- สุขภาพทั่วไป
- ขนาด
- ตำแหน่งของก้อน
- มะเร็งอยู่ในขั้นไหน
ผลข้างเคียงของการรักษา
1. การผ่าตัด
- เจ็บบริเวณที่ผ่าตัด
- อาจมีการติดเชื้อ หรือแผลหายช้า
- การตัดเต้านมไปข้างหนึ่งอาจทำให้เสียสมดุลทำให้ปวดหลัง คอ
- จะรู้สึกตึงๆหน้าอก แขนข้างที่ผ่าตัดจะมีแรงน้อยลง
- มีอาการชาแขนข้างที่ผ่าตัด
- บวมแขนข้างที่ผ่าตัด
2. รังสีรักษา
- อ่อนเพลีย
- ผิวหนังแห้ง แดง เจ็บ คัน
- ก่อนใช้เครื่องสำอางควรปรึกษาแพทย์
3. เคมีบำบัด
- ซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ เกร็ดเลือดต่ำทำให้เหนื่อยง่าย ติดเชื้อง่าย และเลือดออกง่าย
- ผมร่วง
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
- เป็นหมัน
4. ฮอร์โมน
ยาจะยับยังไม่ให้ร่างกายใช้ฮอร์โมนแต่ไม่ยับยังการสร้างฮอร์โมนดังนั้นผู้ป่วยจะมีอาการ วูบวาบ ตั้งครรภ์ง่าย คันช่องคลอด น้ำหนักเพิ่ม ตกขาวควรตรวจภายในทุกปีและรายงานแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ
การฟื้นฟูสภาพหลังการผ่าตัด
การคืนสู่สภาพปกติของร่างกายหลังผ่าตัดขึ้นอยู่กับระยะของโรค ชนิดของการผ่าตัด และสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย ควรทำกายภาพทันทีหลังการผ่าตัดเพื่อป้องกันข้อหัวไหล่ติดยึดและเพื่อเพิ่มกำลังให้กับแขน สำหรับผู้ป่วยที่แขนบวมหลังผ่าตัดแนะนำให้ยกแขนไว้บนหมอนเวลานอน
การป้องกันมะเร็งเต้านม
ยังไม่มีวิธีแน่นอนในการป้องกันมะเร็ง คุณสามารถป้องกันมะเร็งด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่นสมาคมมะเร็งของอเมริกาแนะนำวิธีป้องกันมะเร็งเต้านมดังนี้
- เปลี่ยนแปลงอาหาร เช่น ลดอาหารเนื้อแดง ลดอาหารมัน งดเกลือ
- เลือกรับประทานอาหารพวก ผักและผลไม้
- ควบคุมน้ำหนักมิให้อ้วน ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 4 ชั่วโมงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้
- งดเว้นการสูบบุหรี่ และ แอลกอฮอล์
- ให้เตรียมอาหารและเก็บอาหารอย่างปลอดภัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น